วันพุธที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

"นายกฯไทย" ปลื้ม "นายกฯจีน" เซ็นทันทีซื้อข้าว 6 พันล้านใช้เทศกาลตรุษจีนนี้





วันที่ 21 พฤศจิกายน 2555 (go6TV) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 09.00 น.วันที่ 21 พ.ย. นายเวิน เจียเป่า นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีน พร้อมด้วยนายหยาง เจี๋ยฉือ รมว.ต่างประเทศจีน ได้เดินทางมายังศูนย์วัฒนธรรมจีน ถนนเทียมร่วมมิตร จากนั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จึงเดินทางมาถึง โดยมีนายไช่ อู่ รมว.วัฒนธรรมจีน นายก่วน มู่ เอกอัครราชทูตจีน ประจำประเทศไทย  นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.ต่างประเทศ นายสนธยา คุณปลื้ม รมว.วัฒนธรรม และนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รมว.คมนาคม ให้การต้อนรับ เพื่อร่วมพิธีเปิดศูนย์วัฒนธรรมจีนประจำประเทศไทยอย่างเป็นทางการ โดยมีบรรดาแขกคนสำคัญของฝ่ายไทยและจีนเข้าร่วมงานอย่างคับคั่ง อาทิ นายพินิจ จารุสมบัติ นายกสมาคมวัฒนธรรมและเศรษฐกิจไทย-จีน  คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เป็นต้น ขณะเดียวกันได้มีนักศึกษาชาวจีนที่เดินทางมาศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยของไทย ประมาณ 200 คน มายืนเรียงแถวพร้อมกับโบกธงชาติไทยและจีน ต้อนรับผู้นำของ 2 ประเทศ ทั้งนี้เมื่อผู้นำจีนมาถึง นักศึกษาชาวจีนพากันตะโกนเรียกชื่อ และส่งเสียงกรี๊ดด้วยความดีใจสุดขีด บางส่วนพยายามเอื้อมมือเพื่อขอสัมผัสมือของผู้นำด้วยความปลาบปลื้ม ท่ามกลางการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวดของเจ้าหน้าที่ตำรวจหลายกองร้อย ที่มีทั้งจากกองบัญชาการตำรวจนครบาล กองบัญชาการตำรวจสันติบาล และกองบังคับการตำรวจปฏิบัติการพิเศษ(191) ซึ่งกระจายกำลังรักษาการณ์ทั่วบริเวณทั้งในและนอกศูนย์ฯ อีกทั้ง การเข้า-ออกพื้นที่งานดังกล่าว เจ้าหน้าที่ตำรวจอนุญาตให้เฉพาะผู้ติดบัตรที่ออกโดยสถานเอกอัครราชทูตจีน ประจำประเทศไทย เท่านั้น และมีการตั้งจุดตรวจสัมภาระเพื่อค้นหาวัตถุ รวมถึงมีเจ้าหน้าที่ตำรวจหญิงใช้เครื่องตรวจจับวัตถุโลหะหรืออาวุธ สแกนกระเป๋าและตัวของนักศึกษาเป็นรายบุคคลด้วย

จากนั้น นายกรัฐมนตรีของจีนและไทย ได้ร่วมทำพิธีเปิดศูนย์วัฒนธรรมจีนอย่างเป็นทางการ ที่บริเวณชั้น 2 ของศูนย์ดังกล่าว โดยน.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ความสัมพันธ์ไทย-จีนมีความแน่นแฟ้นมาเป็นเวลาหลายศตวรรษ มีรากฐานสำคัญมาจากประชาชนทั้ง 2 ประเทศติดต่อไปมาหาสู่กัน รวมทั้งมีชาวจีนจำนวนนับล้านคนเดินทางเข้ามาตั้งถิ่นฐานในประเทศไทย นำภาษาและวัฒนธรรมอันดีงามของจีนเข้ามาผสมจนกลายเป็นเนื้อเดียวกันกับสังคมไทย ยิ่งในระยะ 2 ทศวรรษที่ผ่านมา ปฏิสัมพันธ์ระหว่างชาวไทยกับชาวจีนยิ่งขยายตัวมากขึ้น มีเยาวชนไทยจำนวนมากสนใจที่จะเรียนภาษาจีนจนกลายเป็นภาษาที่ได้รับความนิยมมากเป็นอันดับ 2 รองจากภาษาอังกฤษ และจำนวนนักเรียนไทยที่เดินทางไปศึกษาในประเทศจีนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว คนไทยที่เดินทางไปท่องเที่ยวและค้าขายในจีนเพิ่มขึ้นเช่นกัน 

สำหรับการเปิดศูนย์วัฒนธรรมจีนจะเป็นแหล่งเรียนรู้ รวมถึงเป็นจุดเชื่อมโยงที่สำคัญระหว่างคนไทยและคนจีน อีกทั้งจะนำมาซึ่งการแลกเปลี่ยน การไปมาหาสู่ และความร่วมมือระหว่างกันที่กว้างขวางยิ่งขึ้น ขณะที่ไทยมีแผนที่จะเปิดศูนย์วัฒนธรรมไทยในจีนเช่นกัน ซึ่งตนให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ โดยตั้งเป้าหมายว่าจะสามารถเปิดศูนย์วัฒนธรรมไทยในจีนได้ในปี 2556 ต่อด้วยการแสดงทางวัฒนธรรมของไทยและจีน อาทิ การแสดงชุดกลองสะบัดชัย การเต้นประกอบเพลงสมัยใหม่ของจีนโดยเยาวชนไทย การแสดงเครื่องดนตรีจีน และการเป่าขลุ่ยของนักนดนตรีชาวจีน บรรเพลงลอยกระทง เป็นต้น ภายหลังเสร็จสิ้นพิธี นายกรัฐมนตรีของไทย ได้เดินทางกลับทำเนียบรัฐบาล เพื่อเตรียมการต้อนรับและหารือทวิภาคีกับนายกรัฐมนตรีของจีน ขณะที่นายกรัฐมนตรีจีน เดินลงมาที่ชั้น 1 เพื่อชมนิทรรรศการความเป็นมาของการตั้งศูนย์ดังกล่าว ก่อนจะเดินทางไปยังทำเนียบรัฐบาล

สำหรับศูนย์วัฒนธรรมจีนแห่งนี้ ตั้งอยู่บริเวณด้านหลังศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย โดยการก่อสร้างศูนย์นี้เกิดขึ้นจากข้อตกลงร่วมของ 2 ประเทศ ให้จัดตั้งศูนย์วัฒนธรรมของอีกฝ่ายขึ้นในแต่ละประเทศ เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ ทางวัฒนธรรม และส่งเสริมความเข้าใจระหว่างกัน ตลอดจนเสริมสร้างมิตรภาพและเพิ่มพูนความรู้ระหว่างประชาชนของ 2 ประเทศ ซึ่งสถาปัตยกรรมของศูนย์วัฒนธรรมจีนแห่งนี้เป็นแบบจีนประยุกต์ เป็นอาคาร 2 ชั้น ภายในเป็นพื้นที่สำหรับการจัดนิทรรศการ การแสดงทางวัฒนธรรม ห้องสมุด และสถาบันสอนภาษาจีน รวมถึงกิจกรรมทางวัฒนธรรมอื่น เปิดให้นักเรียน นักศึกษา และผู้สนใจได้เข้าไปศึกษาค้นคว้าหาความรู้จากสื่อต่างๆหลากหลายรูปแบบ

จากนั้น เวลา 10.00 น. นายเวิน เจียเป่า นายกรัฐมนตรีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน เดินทางถึงทำเนียบรัฐบาล โดยมี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีรอให้การต้อนรับ บริเวณหน้าตึกไทยคู่ฟ้า  จากนั้น ได้เข้าร่วมพิธีต้อนรับอย่างเป็นทางการ บริเวณสนามหญ้าตึกไทยคู่ฟ้า ก่อนแนะนำคณะรัฐมนตรีและคณะทูตานุทูต ในห้องสีม่วงตึกไทยคู่ฟ้า และลงนามในสมุดเยี่ยม ณ ห้องสีเหลืองตึกสันติไมตรี

เวลา 10.30 น. เป็นการหารือข้อราชการแบบเต็มคณะ ที่ตึกสันติไมตรีหลังใน โดยฝ่ายไทย ประกอบด้วย นายกรัฐมนตรี นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายสนธยา คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม และนายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และนายอุดม วงศ์วิวัฒน์ไชยเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สำหรับผู้เข้าร่วมฝ่ายจีน ประกอบไปด้วย นายเวิน เจียเป่า นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีน นายหยาง เจี๋อฉือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายจาง ผิง รัฐมนตรีประจำคณะกรรมการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติ นายเซี่ย ซวี่เหริน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายเฉิน เต๋อหมิง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายเซี่ย ฝูจาน รัฐมนตรีประจำสำนักวิจัยยุทธศาสตร์ สำนักงานคณะรัฐมนตรี นายโหยว ฉวน รองเลขาธิการประจำสำนักงานคณะรัฐมนตรี นางฟู่ หยิง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และนางเจ้า ซ่าวหัว รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นต้น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายกรัฐมนตรีกล่าวต้อนรับและแสดงความยินดีที่การประชุมสมัชชาพรรคคอมมิวนิสต์จีน ครั้งที่ 18 สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี และเชื่อมั่นว่าภายใต้การนำของผู้นำรุ่นใหม่ของจีน ประเทศจีนจะเจริญก้าวหน้าอย่างมั่นคง และแสดงบทบาทสร้างสรรค์ในเวทีโลก

นายกรัฐมนตรีทั้งสองได้หารือถึงความก้าวหน้าในการดำเนินความร่วมมือหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์อย่างรอบด้าน โดยเห็นควรเร่งรัดความคืบหน้าความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ ที่ได้มีการกำหนดเป้าหมายการขยายการค้าและการลงทุนระหว่างกัน โดยการอำนวยความสะดวกด้านการค้า เพิ่มการลงทุนและโครงการเชื่อมโยงต่างๆ ซึ่งสามารถเป็นจุดประสานความร่วมมือเพื่อการเชื่อมโยงภูมิภาคอาเซียน -จีน อันจะเป็นการส่งเสริมการค้า การลงทุน และความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนต่อประชาชนอีกทางหนึ่ง

ด้านความร่วมมือด้านการค้า นายกรัฐมนตรีได้ขอบคุณที่ฝ่ายจีนลงนามบันทึกความเข้าใจเพื่อเพิ่มการนำเข้าข้าวไทย โดยไทยยินดีขายข้าวให้จีนเพิ่มขึ้นและพร้อมขายในลักษณะ G2G และได้เชิญชวนให้ฝ่ายจีนเข้าร่วมการเก็บรักษาข้าวในคลังสำรองข้าวในระดับภูมิภาคเพื่อรองรับภัยพิบัติในอนาคต นอกจากนี้ ฝ่ายไทยได้ขอให้ฝ่ายจีนสนับสนุนการนำเข้าสินค้าเกษตรจากไทย โดยเห็นควรให้มีการจัดตั้งคณะทำงานด้านสินค้าเกษตรไทย-จีนโดยเร็ว ผ่านการกลไกคณะทำงานระดับท้องถิ่นเพื่ออำนวยความสะดวกในการนำเข้าสินค้าสินค้าเกษตรไทยไปจีน เพื่อแก้ไขปัญหาและอุปสรรคทางการค้า ตลอดจนส่งเสริมภาคเอกชนให้ขยายเครือข่ายทางธุรกิจ

ด้านการลงทุน ทางการไทยยืนยันที่จะดูแลนักธุรกิจจีนที่เข้ามาลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมต่างๆ พร้อมทั้งสนับสนุนให้เอกชนจีนลงทุนในไทยเพิ่มในสาขายางธรรมชาติและแปรรูป พลาสติกชีวภาพ อุตสาหกรรมสีเขียว ยานยนต์ เครื่องจักรและอุปกรณ์ การกระจายสินค้า พลังงานทดแทน พร้อมทั้งยินดีที่ทางการจีนให้ความสนใจด้านการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนรถไฟ และระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ในขณะเดียวกัน ขอให้ทางการจีนช่วยดูแลนักธุรกิจไทยที่ลงทุนในจีนด้วย โดยเฉพาะกลุ่มที่ประสบปัญหาจากกฎระเบียบหรือนโยบายที่เปลี่ยนแปลงไปของทางการท้องถิ่นด้วย

ส่วนด้านความสัมพันธ์ในระดับประชาชน นายกรัฐมนตรีร่วมยินดีในพิธีเปิดศูนย์วัฒนธรรมจีนในไทยเมื่อเช้านี้  ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นช่องทางสำคัญอย่างยิ่งในการเสริมสร้างความเข้าใจวัฒนธรรมจีนให้แก่สังคมไทย และไทยก็จะจัดตั้งศูนย์วัฒนธรรมไทยในกรุงปักกิ่งในอนาคตเช่นเดียวกัน ตลอดจนส่งเสริมให้มีการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมและการศึกษาเยาวชนไทย-จีน และการท่องเที่ยวระหว่างกันให้มากขึ้น

ด้านความร่วมมือในระดับภูมิภาค นายกรัฐมนตรีได้หารือด้านส่งเสริมความร่วมมือในภูมิภาคในมิติเชิงสร้างสรรค์ โดยเฉพาะการพัฒนาเศรษฐกิจและการเชื่อมโยงด้านต่างๆ ของอาเซียน เพื่อให้สามารถร่วมกันพัฒนาความเข้มแข็งและมั่นคงของอาเซียนต่อไป โดยไทยพร้อมจะร่วมมือกับจีน เมียนมาร์ และ สปป.ลาว ภายใต้กลไก 4 ประเทศเพื่อจัดการกับสถานการณ์ความมั่นคงใหม่ในแม่น้ำโขง ผ่านการบังคับใช้ความตกลงการขนส่งข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (Cross Border Transport  Agreement-CBTA) ซึ่งไทยให้ความสำคัญต่อการอำนวยความสะดวกเส้นทางคมนาคมเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้านไปสู่จีนเป็นอย่างยิ่ง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังการหารือ นายกรัฐมนตรีทั้งสองได้ร่วมเป็นสักขีพยานและลงนามความตกลง 4 ฉบับ ได้แก่ 1) บันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงการต่างประเทศแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนว่าด้วยการกระชับความร่วมมือ 2) การแลกเปลี่ยนสัตยาบันสารสนธิสัญญาระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐประชาชนจีนว่าด้วยการโอนตัวผู้ต้องโทษตามคำพิพากษา 3) ความตกลงความร่วมมือด้านการศึกษาระหว่างกระทรวงศึกษาธิการแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงศึกษาธิการสาธารณรัฐประชาชนจีน และ 4) บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในการซื้อขายข้าวระหว่างสองประเทศ

ทั้งนี้ การลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในการซื้อขายข้าวระหว่างสองประเทศ มีวัตถุประสงค์เพื่อผลักดันการขยายตัวในการค้าข้าวระหว่างกัน โดยมีการลงนาม 2 ส่วน ได้แก่ การลงนามของภาครัฐระหว่างกระทรวงพาณิชย์ของทั้งสองประเทศในวันนี้ และการลงนามของภาคเอกชน ซึ่งได้มีการลงนามไปเมื่อวันที่ 20 พ.ย. 2555 ที่ผ่านมา ทางภาคเอกชนจีนได้ตกลงจะนำเข้าข้าวจากไทยรวมปริมาณ 2.6 แสนตัน รวมมูลค่ากว่า 6,240 ล้านบาท เพื่อรองรับเทศกาลปีใหม่และเทศกาลตรุษจีนที่จะมาถึง พร้อมทั้งยังแสดงความต้องการที่จะนำเข้าข้าวจากไทยเพิ่มขึ้นอีกในปีหน้า

                จากนั้นเวลา 11.45 น. ที่ตึกสันติไมตรี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายเวิน เจียเป่า นายกรัฐมนตรีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ได้แถลงข่าวร่วมกัน โดยนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในนามของรัฐบาลไทยครั้งนี้ถือเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ต้อนรับนายกรัฐมนตรีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนในการเดินทางมาเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ และถือว่านายเวิน เจียเป่า เป็นมิตรสำคัญของประเทศไทย ให้การช่วยเหลือสนับสนุนประเทศไทยในการพัฒนาในภูมิภาคนี้อย่างเข้มแข็งตลอดมา นายเวิน เจียเป่าถือเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ ตลอดช่วง 10 ปี ที่ผ่านมาได้เป็นกำลังสำคัญในการนำจีนสู่ความเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลก รวมทั้งได้นำความผาสุกมาสู่ประชาชนชาวจีน ทำให้เป็นที่รักของชาวจีนอย่างมาก สำหรับการเดินทางมาเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการครั้งนี้เป็นการเยือนก่อนครบวาระการดำรงตำแหน่งถือเป็นการให้เกียรติกับประเทศไทยและรัฐบาลไทยเป็นอย่างมาก 

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การพบกันครั้งนี้ตนและนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีนได้หารือกันอย่างกว้างขวางในบรรยากาศที่เป็นมิตร ทั้งสองฝ่ายพึงพอใจต่อความสัมพันธ์ระหว่างการโดยเฉพาะภาคประชาชน โดยช่วงเช้าก็ได้ร่วมในพิธีเปิดศูนย์วัฒนธรรมจีนในประเทศไทย ซึ่งประเทศไทยก็กำลังเตรียมที่จะเปิดศูนย์วัฒนธรรมไทยในจีนเช่นกัน ทั้งสองประเทศมีความร่วมมือด้านการศึกษาอย่างใกล้ชิด และวันนี้ก็ได้มีการลงนามความตกลงความร่วมมือด้านการศึกษาร่วมกัน ซึ่งจะเป็นการเปิดโอกาสในความร่วมมือใหม่ๆทางการศึกษามากยิ่งขึ้น นอกจากนี้นักท่องเที่ยวจากจีนที่เดินทางมาเที่ยวประเทศไทยก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยในปีนี้มีถึง 1.9 ล้านคน  ทั้งสองประเทศได้ตกลงที่จะเพิ่มพูนความร่วมมือในการเปิดเส้นทางบินใหม่ๆ ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะมีการหารือในรายละเอียดต่อไป  ซึ่งตนและนายเวิน เจียเป่า มีความเห็นร่วมกันในด้านการค้าการลงทุนซึ่งยังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องร่วมมือกัน อาทิ สินค้าทางการเกษตร เช่น ข้าว มันสำปะหลัง ยางพารา ผลไม้ ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกของไทย จึงอยากให้รัฐบาลจีนช่วยดูแลแก้ไขข้อติดขัดในการค้าต่างๆ โดยเฉพาะท้องถิ่น  

นอกจากนี้ ประเทศไทยยังสนใจในการส่งออกแอทเธอนัลไปยังจีนด้วย ซึ่งฝ่ายจีนได้เสนอตัวเป็นเจ้าภาพการจัดการประชุมคณะกรรมการร่วมว่าด้วความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ การค้าและการลงทุนครั้งที่ 3  ซึ่งวันนี้ได้มีการลงนามในบันความเข้าใจระหว่างรัฐบาลไทยและจีนในการซื้อขายข้าวระหว่างกัน และเมื่อวันที่ 20 พ.ย.ที่ผ่านมา เอกชนของทั้งสองประเทศได้มีการลงนามในสัญญาซื้อขายข้าวด้วยเช่นกัน

น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า สำหรับด้านการลงทุนประเทศไทยได้เชิญชวนให้นักลงทุนชาวจีนมาลงทุนในประเทศไทยมากขึ้นเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ในการเพิ่มการลงทุนร้อยละ 15 ต่อปี  ตนได้แจ้งให้นายเวิน เจียเป่าทราบถึงการลงทุนที่ไทยให้ความสำคัญเป็นพิเศษ เช่น การแปรรูปยางธรรมชาติ พลาสติกชีวภาพ ยานยนต์ รวมทั้งได้เชิญชวนให้ชาวจีนมาร่วมลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ โดยเฉพาะการเชื่อมโยงของภูมิภาค เช่น โครงการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย รถไฟฟ้าความเร็วสูง ระบบการป้องกันน้ำท่วมในไทย ซึ่งนายเวิน เจียเป่าได้แจ้งให้ทราบว่าจีนมีความสนใจในโครงการเหล่านี้อยู่แล้วจึงจะมีการหารือในรายละเอียดต่อไป ซึ่งตนได้ถือโอกาสฝากให้ทางจีนช่วยดูแลนักดูแลนักลงทุนชาวไทยด้วย

“ท้ายที่สุดดิฉันขอแสดงความยินดีกับนายเวิน เจียเป่า ที่การประชุมสมัชชาพรรคคอมมิวนิสต์จีนครั้งที่ 18 สำเร็จลุล่วงด้วยดี และฝากความปรารถนาดีไปยังนายสี จิ้นผิง รองประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งเพิ่งได้รับเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งเป็นเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนด้วย ซึ่งประเทสไทยมีความเชื่อมั่นว่าภายใต้การนำของผู้นำรุ่นใหม่ของประเทศจีนจะเจริญก้าวหน้าอย่างมั่นคง และแสดงบทบาทที่สร้างสรรค์ในเวทีโลกอย่างต่อเนื่อง” นายกรัฐมนตรี กล่าว

ด้านนายเวิน เจียเป่า กล่าวว่า ตนได้เดินทางมาประเทศไทยถึง 4 ครั้งแต่ครั้งนี้ถือเป็นการมาเยือนอย่างเป็นทางการครั้งแรก และบ่ายวันเดียวกันนี้จะได้มีโอกาสเข้าเฝ้าฯพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และเข้าพบกับพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ และตนต้องขอขอบคุณในการต้อนรับของรัฐบาลไทยที่อบอุ่นจากรัฐบาลและประชาชนชาวไทย  การพบปะหารือกันในวันนี้ของรัฐบาลตนได้มีการหารือและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับนายกรัฐมนตรีและรับฉันทามติหลายเรื่อง การเดินทางไปเยือนจีนของนายกรัฐมนตรีไทยในเดือนเม.ย.ที่ผ่านมาถือว่าประสบความสำเร็จอย่างสูง โดยทั้งสองประเทศได้จัดตั้งความสัมพันธ์หุ้นส่วนความร่วมมือด้านยุทธศาสตร์รอบด้าน การเดินทางาเยือนไทยครั้งนี้ของตนก็เพื่อส่งเสริมความร่วมมือของทั้งสองประเทศให้ดียิ่งขึ้น ประเทศไทยประสบความสำเร็จในการแก้ปัญหาความท้าทายต่างๆ เช่นอุทกภัยครั้งใหญ่ วิกฤติทางการเงินระหว่างประเทศ และประสบความสำเร็จอย่างชัดเจนในการฟื้นฟูเศรษฐกิจและการยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน  ซึ่งรัฐบาลจีนขอแสดงความยินดีเป็นอย่างยิ่ง และเชื่อว่าจะนำความผาสุกมาสู่คนไทย  สำหรับสถานการณ์ระดับภูมิภาคและระดับโลกที่มีความเปลี่ยนแปลงผลิกผัน มีความสลับซับซ้อนนั้น ทางการจีนยินดีที่จะร่วมมือกับฝ่ายไทยและพร้อมให้การสนับสนุน ช่วยเหลือเพื่อพัฒนาและกระชับความร่วมมือไปด้วยกัน โดยเฉพาะในระดับภูมิภาค โดยเพาะการส่งเสริมและผลักดันความร่วมมือระหว่างจีนกับอาเซียนให้มีการพัฒนาอย่างมีคุณภาพและมั่นคง

นายเวิน เจียเป่า กล่าวว่าจีนและไทย เป็นหุ้นส่วนคู่ค้าสำคัญซึ่งกันและกัน และมีแนวโน้มที่ดีในการขยายความร่วมมือระหว่างกัน จีนยินดีที่จะร่วมมือกับไทยเพื่อดำเนินการตามแผนการพัฒนา 5 ปี ทางด้านความร่วมมือเศรษฐกิจการค้า ซึ่งทั้งสองฝ่ายได้มีการลงนามความร่วมมือระหว่างกัน จะมีการกระชับความร่วมมือด้านสิ่งก่อสร้างพื้นฐาน เช่นการคมนาคม ชลประทานรวมทั้งความร่วมมือด้านการเกษตร การลงทุน และความร่วมมือลุ่มแม่น้ำโขง

“ขอชื่นชมที่นายกรัฐมนตรีไทยให้ความสำคัญกับการแลกเปลี่ยนของวัฒนธรรมและการศึกษาของสองประเทศ ทางการจีนพร้อมสนับสนุนและช่วยเหลือเพื่อขยายขนาดและยกระดับการเรียนการสอนภาษาจีนในประเทศไทยและผลักดันให้สองฝ่ายมีความร่วมมือด้านวัฒนธรรม การท่องเที่ยวและการติดต่อประสานงานระหว่างเยาวชน และขอย้ำว่าจีนกับไทยเป็นเพื่อนบ้านอย่างใกล้ชิดมาตั้งแต่โบราณกาล ประชาชนทั้งสองประเทศมีความใกล้ชิดสนิทสนม มีการติดต่ออย่างใกล้ชิด ในประเทศไทยมีชาวไทยเชื้อสายจีนเกือบ 10 ล้านคน ดังนั้นคำกล่าวที่ว่าจีน-ไทย มิใช่อื่นไกลเป็นพี่น้องกันนั้นเป็นการพรรณาความสัมพันธ์ของเราที่ดี และผมเชื่อมั่นว่าด้วยความพยายามของทั้งสองฝ่ายความสัมพันธ์ของสองประเทศจะมีความกระชับมากยิ่งขึ้น” นายเวิน เจียเป่า กล่าว

ไม่มีความคิดเห็น: