วันนี้ ( 12 พ.ย. )
ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ)
นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ
แถลงผลสรุปเบื้องต้นคดีทุจริตโครงการจัดซื้อครุภัณฑ์อาชีวศึกษา
(เอสพี 2 ) ภายใต้โครงการแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยเข้มแข็ง ในวงเงินงบประมาณ 5,300
ล้านบาท ของสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(สอศ.) ว่า
ผลสอบสวนพบมีบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตจำนวน 4 ราย ประกอบด้วย
นายชินวรณ์ บุญยเกียรติ อดีตรมว.ศึกษาธิการ พรรคประชาธิปัตย์
น.ส.นริศรา
ชวาลตันพิพัทธ์
อดีตรมช.ศึกษาธิการ พรรคเพื่อแผ่นดิน
นายเจี่ยง วงศ์สวัสดิ์สุริยะ
ผอ.สำนักนโยบายและแผนการอาชีวศึกษา และ
นายบำรุง อร่ามเรือง ผอ.วิทยาลัยเทคนิคพระนครศรีอยุธยา
ซึ่งทั้งหมดร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต
ทำให้สอศ. กระทรวงศึกษาธิการ
ได้รับความเสียหาย โดยพบมี 5 ประเด็นสำคัญ
ประกอบด้วย
1.
การแต่งตั้งบุคคลใกล้ชิดหรือพวกพ้องของรัฐมนตรีเป็นคณะกรรมการชุดต่าง ๆ
ในการจัดหาครุภัณฑ์ ให้เป็นไปตามความต้องการของตนเอง โดยเฉพาะนายบำรุง อร่ามศรี
2.การจัดซื้อครุภัณฑ์ ที่มีราคาแพงเกินความจริง เช่น
ครุภัณฑ์ห้องปฏิบัติการไฟฟ้าพื้นฐาน ราคาประมาณเพียงชุดละ 1ล้านบาท
แต่ตั้งราคาสูงถึง 3 ล้านบาทและจัดซื้อ 19 ชุด เป็นเงินกว่า 57 ล้านบาท
ผู้ขายมีกำไรกว่า 38 ล้านบาท
ซึ่งครุภัณฑ์ที่จัดสรรให้วิทยาลัยไม่มีคุณภาพ และไม่เกิดประโยชน์ต่อการเรียนการสอน
3.
การจัดซื้อก็ไม่ได้สำรวจความต้องการครุภัณฑ์ของสถานศึกษาที่มีความจำเป็นต้องใช้ในการเรียนการสอน
แต่กลับจัดครุภัณฑ์ให้กับสถานศึกษาโดยที่สถานศึกษาไม่มีส่วนร่วมในการกำหนดสเปค
และไม่ตรงกับวิชาการเรียนการสอน
อีกทั้งยังไม่มีการเรียนการสอนเกี่ยวกับครุภัณฑ์นั้น
4.ผู้ประกอบการหรือผู้ขายสินค้าครุภัณฑ์ให้กับ สอศ.
อยู่ที่ดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ของรัฐบางคนเป็นผู้กำหนดเท่านั้น
อันเป็นการกระทำที่เอื้อประโยชน์แก่คู่สัญญารายใดรายหนึ่ง
โดยมุ่งหมายมิให้มีการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม และ
5. การตรวจรับครุภัณฑ์ ไม่ตรงตามสเปคหรือสัญญาซื้อขาย เช่น
จุดเชื่อมวงจรไฟฟ้า ตามสเปคหรือสัญญากำหนดไว้เป็นทองคำแท้
เพื่อให้ครุภัณฑ์มีราคาสูงแต่จากการตรวจสอบพบว่าเป็นทองชุบเท่านั้น
เหตุเกิดที่วิทยาลัยการอาชีพบ้านผือ จ.อุดรธานี และที่วิทยาลัยเทคนิคปราจีนบุรี
นายธาริต กล่าวอีกว่า
จากการสอบสวน ปรากฏว่าผู้ถูกกล่าวหาดังกล่าวข้างต้น
เป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมายมีอำนาจหน้าที่ในการดูแลรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติให้เป็นไปตามกฎหมาย
ระเบียบ ที่เกี่ยวข้อง แต่จงใจฝ่าฝืนกฎหมายตาม
พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ และ กระทำผิดทุจริตต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157
รวมทั้งผิดระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัสดุ
และไม่ยึดหลักธรรมาภิบาลในการจัดซื้อจัดจ้าง
ดีเอสไอจึงต้องส่งสำนวนคดีนี้ให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
(ป.ป.ช.) เพื่อไต่สวนต่อไป”
“ดีเอสไอส่งสำนวนให้ป.ป.ช. แล้ว แต่ตามพ.ร.บ.
การสอบสวนคดีพิเศษฉบับแก้ไขเพิ่มเติมได้กำหนดให้ดีเอสไอยังสามารถสอบสวนต่อไปอีกได้ จนกว่า ป.ป.ช. จะมีมติอย่างอย่างใดอย่างหนึ่ง
ดังนั้นจึงต้องสอบขยายผลไปยังบุคคลอื่นๆที่มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่เบื้องต้นพบว่า 4
คนที่ปรากฏรายชื่อถือเป็นหัวขบวนสำคัญ
จึงต้องเชิญตัวให้ปากคำในฐานะผู้ถูกกล่าวหาในวันที่ 15 พ.ย.นี้
โดยดีเอสไอทำหนังสือแจ้งเจ้าตัวให้รับทราบแล้ว แต่ยังไม่ได้รับคำตอบว่าจะมาหรือไม่”
นายธาริต กล่าว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น