วันอังคารที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2555

บ้าไปแล้ว! สถาบันประปกเกล้าฯ สั่งนิติราษฎร์ "ยุติบทบาท-ควบคุมพฤติกรรม"?



สถาบันพระปกเกล้า ออกแถลงการณ์ ให้กลุ่มนักวิชาการที่เคลื่อนไหวแก้ไขมาตรา 112 ให้หยุดเคลื่อนไหว, ให้สถาบันต้นสังกัดควบคุมพฤติกรรม, และให้สังคมร่วมติดตามตรวจสอบใกล้ชิด พร้อมยกระดับตอบโต้จากเบาไปหาหนักหากยังไม่ยอมหยุด

นายมหรรณพ เดชวิทักษ์ นายกสมาคมแห่งสถาบันพระปกเกล้า เป็นประธานแถลงการณ์คณะกรรมการสมาคมแห่งสถาบันพระปกเกล้าเรื่องการละเมิดสถาบันพระมหากษัตริย์ของคณะกลุ่มบุคคลที่ได้อ้างความเป็นนักวิชาการและเสนอต่อสาธารณะในการแก้ไขมาตรา 112 แห่งประมวลกฎหมายอาญา และนำไปสู่การละเมิด พาดพิงวิพากษ์วิจารณ์ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นสถาบันของชาติให้เกิดความเสียหาย และ กระทบกระเทือนต่อจิตใจประชาชนทั่วทุกหมู่เหล่า และขยายวงไปสู่ความขัดแย้งและแตกยกของผู้คนในสังคม

ดังนั้นสมาคมแห่งสถาบันพระปกเกล้าในฐานะศูนย์รวมของนักศึกษาปัจจุบันและศิษย์เก่าของสถาบันพระปกเกล้า และมีวัตถุประสงค์เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารและสร้างความห่วงใยต่อพฤติกรรมและการกระทำของกลุ่มบุคคลดังกล่าวที่ก้าวเลยความเป็นนักวิชาการที่แสดงออกอย่างบริสุทธิ์ใจอย่างมีจรรยาบรรณ อย่างที่วิญญูชนพึงแสดงออกและพึงกระทำ คณะกรรมการสมาคมแห่งสถาบันพระปกเกล้าจึงขอเรียกร้องต่อสาธารณะดังนี้

1.ให้คณะบุคคลดังกล่าวได้ยุติการกระทำที่ละเมิดต่อสถาบันพระมหากษัตริย์

2.ขอให้สถาบันการศึกษาต้นสังกัดของกลุ่มบุคคลเหล่านี้ ได้ดำเนินการควบคุมพฤติกรรมและการกระทำที่สร้างความแตกแยกแก่สังคมและประเทศโดยรวม และพิจารณาถึงการกล่าวอ้างตำแหน่งทางวิชาการของสถาบันการศึกษาที่มีชื่อเสียงของประเทศไปแสวงหาผลประโยชน์ให้เกิดแก่กลุ่มตนเองและพวกพ้องแห่งตน ตามอำนาจหน้าที่ต่อไป

3.ขอเรียกร้องให้สาธารณะสังคมได้โปรดติดตามตรวจสอบพฤติกรรมของกลุ่มคณะบุคคลดังกล่าวต่อไปอย่างใกล้ชิด

คณะกรรมการสมาคมแห่งสถาบันพระปกเกล้าจึงแถลงมายังสังคมและประชาชนให้ทราบโดยทั่วกัน และขอเรียกร้องให้ทุกภาคส่วนในสังคมได้แสดงออกถึงความจงรักภักดี ปกป้องเทิดทูนและพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ตลอดไป

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าหากยังไม่มีการยุติการกระทำดังกล่าวจะมีการเรียกร้องอย่างไรต่อไป นายมหรรณพกล่าวว่าทางสมาคมจะทำการตอบโต้จากเบาไปหาหนักซึ่งเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องของกฎหมาย แต่เป็นเรื่องของศรัทธา เมื่อผู้สื่อข่าวถามต่อว่าถ้ายังมีการเสนอเรื่องนี้เข้าสู่รัฐสภาจะทำอย่างไร นายมหรรณพกล่าวว่าก็ให้เป็นไปตามขั้นตอนของสภา แต่เรื่องแบบนี้ก็เป็นเรื่องที่ไม่สมควรกระทำอยู่แล้ว และอยากให้ทุกองค์กรและหน่วยงานตระหนักถึงภัยที่จะตามมา เพราะนี่เป็นเพียงการเคลื่อนไหวครั้งแรกของสมาคม

"อธิการบดี มธ." ให้สัมภาษณ์ "นิติราษฏร์-ไปใช้ที่อื่นก็ได้"


วันนี้ อธิการบดี มธ. สมคิด เลิศไพฑูรย์ ได้ให้สัมภาษณ์ครั้งแรกหลังกระแสต่อต้านเริ่มก่อตัวภายในมหาวิทยาลัย โดยตลอดวันนี้ นักศึกษาได้แปะป้ายกระดาษแสดงความไม่เห็นด้วยต่อกรณี จำกัดสิทธิเสรีภาพทางการพูด

ล่าสุด อธิการบดีให้สัมภาษณ์ แสดงความห่วงใยขอให้หยุดการเคลื่อนไหวในประเด็นอ่อนไหว แต่ไม่ห้ามการเคลื่อนไหว หากไม่สามารถทำใน มธ.ได้ ก็สามารถยังทำภายนอกได้เช่น อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เป็นต้น



นศ.มธ. ปิดป้ายประท้วง "อธิการบดี" กรณีห้ามนิติราษฏร์




























ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสมคิด เลิศไพฑูรย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เขียนข้อความในเว็บไซต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ว่า “ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ซึ่งประกอบด้วยคณบดี ผู้อำนวยการสำนักสถาบัน มีมติเอกฉันท์ว่ามหาวิทยาลัยฯ คณะ สำนัก สถาบันจะไม่อนุญาตให้ใช้พื้นที่มหาวิทยาลัยฯ เพื่อเคลื่อนไหวกรณีประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 อีกต่อไป เพราะมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เป็นสถานที่ราชการ การอนุญาตต่อไปอาจทำให้คนเข้าใจผิดว่าเป็นการดำเนินการของมหาวิทยาลัยฯ หรือมหาวิทยาลัยฯ เห็นด้วยกับการดำเนินการดังกล่าวข้างต้น อีกทั้งอาจนำมาซึ่งความขัดแย้งอย่างรุนแรงภายในบริเวณมหาวิทยาลัยฯ จนมหาวิทยาลัยฯ ไม่อาจดูแลความปลอดภัยของบุคคลและทรัพย์สินของมหาวิทยาลัยฯได้”

ล่าสุด มีนักศึกษาจากหลากหลายกลุ่มรวมตัวกันประท้วงมติของคณะกรรมการบริหารมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ด้วยการติดป้ายข้อความต่างๆ ทั่วทั้งอาคารเรียนรวมสังคมศาสตร์ (ตึก SC)


ทั้งนี้ มีรายงานว่ากลุ่มธรรมศาสตร์เสรีเพื่อประชาธิปไตยจะทำการวางพวงหรีดเพื่อคัดค้านการห้ามรณรงค์เกี่ยวกับมาตรา 112 และไว้อาลัยให้กับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ที่ทำลายตัวเองด้วยการปิดกั้นเสรีภาพดังกล่าว ที่รูปปั้นอ.ป๋วย อึ้งภากรณ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ วิทยาเขตรังสิต ในวันพฤหัสบดีที่ 2 กุมภาพันธ์นี้ เวลาบ่ายสองโมง และที่รูปปั้นอ.ปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ วิทยาเขตท่าพระจันทร์ ในวันอาทิตย์ที่ 5 กุมภาพันธ์ เวลาบ่ายสองโมง

เวทีล่ม! "เทพเจ้าชวน" หวิดตกเวทีงานลงเสาเอกศาลเจ้า



















เวลา 11.30 น.วันที่ 31 มกราคม 2555 ฯพณฯ ชวน หลีกภัย อดีตนายกรัฐมนตรี เดินทางมาเป็นประธานในพิธีขึ้นเสาเอกศาลเจ้าถี่ก่งตั๋ว โดยมีนางอัญชลี วานิช เทพบุตร ส.ส.ภูเก็ต , นายเรวัต อารีรอบ ส.ส.ภูเก็ต ,นายไพบูลย์ อุปัติศฤงค์ นายก อบจ. และ นายสมบูรณ์ จิรายุส นายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวภูเก็ต ตลอดจนประชาชนชาวภูเก็ตที่มีจิตศรัทธาร่วมในพิธีอย่างล้นหลาม โดยมีนายกรีฑา แซ่ตัน นายกเทศนตรีเทศบาลวิชิต กล่าวต้นรับ
นางเบญจมาศ โกยศิริพงศ์ ในฐานะประธานจัดสร้างศาลเจ้าถี่ก่งตั๋ว กล่าวรายงานว่า ศาลเจ้าถี่ก่งตั๋ว ตั้งอยู่บ้านแหลมชั่น หมู่ที่ 2 ต.วิชิต อ.เมือง จ.ภูเก็ต เป็นศาลเจ้าที่สร้างขึ้นโดยชาวจีนฮกเกี๋ยน และคนไทยเชื้อสายจีนฮกเกี๋ยน มีประวัติความเป็นมาเก่าแก่ยาวนานมากว่า 100 ปี อยู่เคียงคู่กับวิถีชีวิตของคนไทยเชื้อสายจีนในภูเก็ต
ถี่ก่งตั๋ว สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ประทับของกษัตริย์แห่งสวรรค์บนพื้นพิภพ มีเพียงแห่งเดียวบนเกาะภูเก็ตและถือเป็นศูนย์รวมแรงศรัทธาและยึดเหนี่ยวจิตใจของชาวไทยเชื้อสายจีนภูเก็ตตลอดมา
ระหว่างที่นายชวน กำลังกล่าวปราศัย ปรากฏเหตุการณ์ไม่คาดฝันเมื่อพื้นเวที ซึ่งไม่ได้ออกแบบมาให้รับน้ำหนักได้มาก พลิกกระดกออกจากกันจนจนโพรเดียมและคนยืนข้างนายชวนต่างพลัดตกเวทีลงไป ซึ่งชาวบ้านต่างโจษจันกันถึงเหตุการณ์นี้กันทั้งเมือง

ขอขอบคุณ

นายกฯ รับมอบระฆังมหาพุทธชยันตี


"ยิ่งลักษณ์" นายกฯ รับมอบระฆังมหาพุทธชยันตี สัญลักษณ์การจัดงานพุทธชยันตี ซึ่งเป็นกิจกรรมสมโภชพุทธชยันตี 2600ปี ซึ่งจะมีการจัดงานขึ้นในวันมาฆบูชา 4 มี.ค.นี้ ที่พุทธมณฑล

นายริว ปาณรวัฐ ลิ่มรัตนอาภรณ์ และนายเอ ศุภาชัย ไพจิตร ศิลปินนักร้อง ตัวแทนสภาศิลปินส่งเสริมพระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย อัญเชิญระฆังมหาพุทธชยันตีจำนวน 2 ใบ จากสมเด็จพระพุฒาจารย์ประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่ สมเด็จพระสังฆราชฯ เพื่อมอบให้น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีเป็นปฐมกฤษ์ เพื่อเป็นสัญลักษณ์การจัดงานพุทธชยันตีอย่างเป็นทางการซึ่งเป็นกิจกรรมสมโภชพุทธชยันตี 2600ปี พุทธบูชาพระทันตธาตุ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่อัญเชิญจากราชอาณาจักรภูฎานและมหากรรมลั่นระฆังมหาพุทธชยันตี 2600ปี เพื่อสันติภาพโลก ซึ่งจะจัดขึ้นในวันมาฆบูชา 4 มีนาคม 2555นี้ ที่พุทธมณฑล โดยหลังจากการรับมอบระฆังมหาพุทธชยันตี นายกรัฐมนตรี เดินทางขึ้นห้องประชุม ครม.ทันที

อุทธรณ์ยกฟ้องอดีตอธิบดีสรรพากรไม่เก็บภาษีหุ้นชิน

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ยกฟ้องคดี "ศิโรตม์ สวัสดิ์พาณิชย์" อดีตอธิบดีกรมสรรพากร กับพวกรวม 5 คน เลี่ยงเก็บภาษีโอนหุ้นชินคอร์ป ชี้ไม่ได้ละเว้นหน้าที่

ลางร้าย! "ขุนทัพคิดการใหญ่" ไฟไหม้เตาหลอมพระ



หลวงปู่พุทธะอิสระ หรือพระสุวิทย์ ธีรธมฺโม เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย (ธรรมะอิสระ) อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม ให้สัมภาษณ์ถึงเบื้องหลังการเชิญพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม อดีตผู้บัญชาการทหารบก(ผบ.ทบ.) พลเอกสมทัต อัตตะนันทน์ อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด(ผบ.สส.) และอดีต ผบ.ทบ. พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา อดีต ผบ.ทบ และ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. เป็นประธานเททองหล่อพระเกตุมาลาพระนาคปรก "ปกเกล้า ปกแผ่นดิน" และยกองค์ฐานองค์พระฯขึ้นประดิษฐาน ที่วัดอ้อน้อย เมื่อวันที่ 27มกราคมว่า คนสมัยโบราณเวลาสร้างหลักบ้านหลักเมืองหรือขึ้นบ้านใหม่จะเลือกคนมีบุญญาธิการ บุญบารมีหรือไม่ก็มียศฐาบรรดาศักดิ์มาเป็นผู้ยกหลักเมือง หลักบ้านหรือเสาเอก

หลวงปู่พุทธะอิสระกล่าวว่า สมัยโบราณเมื่อยกเสาเอกจะใช้ขุนทหารแม่ทัพนายกองเป็นผู้มีความรู้ความสามารถมีสติปัญญา เป็นที่รักใคร่มีคุณธรรมมาประจำในทิศทั้งสี่ ในวันทำพิธีกรรมจะเห็นว่านายทหารทั้งสี่จับสลาก

"ทุกคนจับสลากกันแม่นมาก ตรงกับที่อธิษฐานไว้ทุกคนเลย อย่างคุณประวิตร(วงษ์สุวรรณ) เวลาขึ้นที่สูง ขึ้นไม่ไหวเพราะสุขภาพไม่แข็งแรง เขาอธิษฐานว่าขอให้สุขภาพแข็งแรง พอจับสลากออกมาก็ได้ในทิศแข็งแรง ผบ.ทบ.คนปัจจุบัน พลเอกประยุทธ์ เขาอยากให้หน้าที่ฐานะการงานรุ่งเรือง ก็ได้รุ่งเรืองตามที่ปรารถนา" เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อยกล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า พลเอกอนุพงษ์จับสลากได้ทิศชนะหมายความว่าอย่างไร หลวงปู่พุทธะอิสระกล่าวว่า "ถ้าไม่ชนะคงปฎิวัติไม่สำเร็จ ส่วนพลเอกสมทัต ได้ทิศมั่นคง เขาไม่หวั่นไหว ใครมาชวนเขาเป็นนักการเมือง ก็ไม่หวั่นไหว"

หลวงปู่พุทธะอิสระกล่าวว่า นายทหารทั้งสี่คนมาวัดที่วัดอ้อน้อย อย่างเช่นมาทอดกฐิน ทอดผ้าป่ามาช่วยบวชพระบวชเณร เป็นลูกศิษย์เก่า
"ในสายตาของอาตมา เขาเป็นคนซื่อตรง เขาเป็นคนดี ก็เลยเชิญเขามาให้เป็นฐานอำนาจที่จะข่มคนที่คิดไม่ดี ทำไม่ดีต่อบ้านต่อเมือง คนที่คิดไม่ดีทำไม่ดีแล้วพูดไม่ดีต่อบ้านต่อเมือง เป็นนัยยะเป็นนิมิตรมงคลนาม เป็นเคล็ดในการทำยันตพิธี ก็มีคนถามว่าทำไมไม่เอาสามเหล่าทัพก็คือทหารบก เรืออากาศแล้วก็ตำรวจ เท่าที่เราดูประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ในแผ่นดินสยามที่ก่อตั้งรากฐานมา บทบาทที่มีอยู่มากและอย่างสูงก็คือทหารบกที่กอบกู้บ้านเมือง ปกป้องแม้กระทั่งสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ท่านก็เป็นต้นตำรับทหารบกและหน่วยจู่โจม เพราะฉะนั้น ก็เลยใช้ท่านอดีตผบ.ทบ.และผบ.ทบ.คนปัจจุบันมาทำหน้าที่ เขาก็ยินดี อุตส่าห์เสียสละปลีกเวลาแล้วอยู่จนจบพิธี" หลวงปู่พุทธะอิสระกล่าว
สำหรับพิธีเททองหล่อพระเกตุมาลาพระนาคปรก “ปกเกล้า ปกแผ่นดิน” และยกองค์ฐานองค์พระฯขึ้นประดิษฐาน ที่วัดอ้อน้อย มีขึ้นเมื่อเวลา 16.00น.วันที่ 27 มกราคม 3 อดีตผบ.ทบ.ประกอบด้วย พลเอกประวิตร พลเอกสมทัต พลเอกอนุพงษ์ และ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.ร่วมป็นประธานฯ

พล.ต.ต.โกสินทร์ บุญสร้าง รองผบช.ตชด. ประธานมูลนิธิธรรมอิสระ และมูลนิธิ อโรคยาศาลา กล่าวรายงานในพิธีว่า โครงการจัดสร้างพระมหาพุทธพิมพ์นาคปรก “ปกเกล้า ปกแผ่นดิน” นี้ขึ้นเพื่อแสดงให้เห็นถึงความกตัญญูที่มีต่อแผ่นดิน และต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ หลวงปู่พุทธอิสระ ได้ดำริให้จัดสร้างพระนาคปรก โดยใช้เหรียญสตางค์ ซึ่งมีพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ติดเป็นเกร็ดพญานาค

การจัดพิธีครั้งนี้ มีขึ้นในห้วงสถานการณ์การเมืองเริ่มคุกรุ่นด้วยเสียงวิวาทะในประเด็นแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 รวมถึงการผลักดันให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ หมวดพระมหากษัตริย์ ขณะที่นายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เดินทางไปราชการที่อินเดีย และสวิตเซอร์แลนด์

พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ จับสลากได้ทิศตะวันตกขององค์พระฯ ซึ่งมีความหมายว่า "แข็งแรง" พลเอกสมทัต อัตตะนันทน์ อดีต ผู้บัญชาการสูงสุด(ผบ.สส.) และอดีต ผบ.ทบ. ได้ทิศใต้ขององค์พระฯ ซึ่งมีความหมาย ว่า "มั่นคง" พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา ได้ทิศเหนือขององค์พระฯ มีความหมายว่า"ชัยชนะ" พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. คนปัจจุบัน จับสลากได้ทิศตะวันออกขององค์พระฯ มีความหมายว่า" รุ่งเรือง" ประชาชนและลูกศิษย์ฯที่มาร่วมพิธีกว่า 10,000 คน ส่งเสียงสรรเสริญกึกก้อง ทั้งมณฑลพิธี

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะที่ประธานทั้ง 4 คน และหลวงปู่ธรรมอิสระ ประกอบพิธีเททองหล่อพระเกตุมาลา อยู่นั้น น้ำมันเตาได้เกิดรั่วไหลลงไปในเตา ทำให้เกิดไฟลุกไหม้อย่างรุนแรง และมีควันสีดำปกคุม ทำให้ประชาชน และลูกศิษย์ ที่อยู่ใกล้เคียงเตาหลอมต่างวิ่งหนี แต่เจ้าหน้าที่สามารถควบคุมเพลิงไว้ได้ โดยไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ พิธีกรรมดำเนินต่อไปจนแล้วเสร็จ

ขอขอบคุณ มติชน/เนชั่น

สหรัฐจัด "นักรบไซเบอร์เวิลด์คลาส" หมื่นตำแหน่งรับมือสมรภูมิรบ

พลโทเร็ตต์ เอ. เฮอร์นันเดซ ผู้บัญชาการกองบัญชาการไซเบอร์ (อาร์กไซเบอร์) ในสังกัดกระทรวงกลาโหม แห่งสหรัฐอเมริกา เปิดเผยในระหว่างการประชุมว่าด้วยการกลาโหมในโลกไซเบอร์ ที่กรุงลอนดอน เมื่อเร็วๆ นี้ ว่า อาร์กไซเบอร์ กำลังเตรียมเกณฑ์สมาชิกจำนวนมาก ให้ได้ราว 10,000 นาย เพื่อให้ทำหน้าที่เป็น "นักรบไซเบอร์ระดับเวิลด์คลาส" ที่จะใช้โลกไซเบอร์เป็นสมรภูมิในการปฏิบัติหน้าที่

พลโทเฮอร์นันเดซระบุว่า ไซเบอร์สเปซซึ่งมีอิทธิพลและเข้ามาเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตมนุษย์มากขึ้นเรื่อยๆ ในยุคดิจิตอล มีความสลับซับซ้อนมากยิ่งขึ้นและมีภัยคุกคามที่ไม่เพียงวิวัฒนาการไปหลาก หลายมากขึ้นเท่านั้น ยังก้าวหน้าทันสมัยไฮเทคมากขึ้นเรื่อยๆ อีกด้วย การรับสมัครดังกล่าวนี้ ทางกระทรวงกลาโหมสหรัฐ พร้อมที่จะผ่อนคลายกฎเกณฑ์ปกติของตนเองหลายต่อหลายอย่าง อาทิ ผู้สมัครไม่จำเป็นต้องตัดผมสั้นเกรียน มีร่างกายแข็งแรง หรือวิ่งได้เป็นหลายๆ กิโลเมตร ตรงกันข้ามจะผมยาวเฟื้อยหรือไม่ต้องวิ่งเร็ว อึดมากมายก็ได้ แต่จำเป็นต้องมีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านคอมพิวเตอร์ และความสามารถอื่นๆ ที่จะเป็นประโยชน์เพื่อการใช้งานในไซเบอร์สเปซระดับสุดยอด ต้องเป็นมืออาชีพที่วางใจได้ มีวินัยและมีความแหลมคมในการทำหน้าที่ตามศักยภาพของตนเอง ผู้ที่ผ่านเกณฑ์จะได้รับการฝึกให้รับมือกับสถานการณ์ท้าทายในโลกไซเบอร์ที่ คุกคามต่อความมั่นคงปลอดภัยต่อประเทศชาติ อย่างเช่นการโจมตีต่อระบบควบคุมดูแลสาธารณูปโภคของสหรัฐอเมริกา อย่างเช่นการไฟฟ้าและการประปาที่ใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์ควบคุม และสามารถเจาะเข้าสู่ระบบได้ด้วยช่องโหว่เท่าที่มีอยู่ นอกเหนือจากนั้นก็ต้องฝึกรับมือการโจมตีจาก "นักรบไซเบอร์" ชาติอื่นๆ ที่มีต่อระบบคอมพิวเตอร์ของสถาบันการเงินหรือตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐอเมริกา เป็นอาทิ

เซอร์ จอห์น สกาเล็ตต์ ประธานอำนวยการ เบล็ตซลีย์ ปาร์ก ทรัสต์ ซึ่งเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบความมั่นคงในโลกไซเบอร์ของอังกฤษ เปิดเผยไว้ในที่ประชุมเดียวกันว่า ประเด็นปัญหาในการสื่อสารผ่านโลกไซเบอร์ในยุคปัจจุบัน ไม่ได้เป็นปัญหาในส่วนตัวบุคคลหรือเอกชนแต่เพียงอย่างเดียวอีกต่อไปแล้ว แต่กำลังเป็นปัญหาระหว่างรัฐกับรัฐมากขึ้นเรื่อยๆ

"นอกจากเราต้องเป็นกังวลกับอาชญากรรมในโลกไซเบอร์ เรายังต้องกังวลกับการก่อการร้ายผ่านไซเบอร์สเปซ ต้องกังวลกับการดำเนินการของรัฐบางรัฐ ต้องรับมือกับสิ่งที่เรียกว่า แฮกติวิสต์..นักเจาะระบบที่เคลื่อนไหวโจมตีเพื่อผลประโยชน์ของรัฐใดรัฐหนึ่ง หรือเพื่อเป้าหมายทางการเมืองอื่นๆ" เซอร์ จอห์นระบุ

จอห์น บัมการ์เนอร์ ผู้เชี่ยวชาญจากหน่วยรับมือผลกระทบทางไซเบอร์แห่งสหรัฐอเมริกา (ยูเอส ซีซียู) ระบุว่า นอกจากประเด็นต่างๆ เหล่านั้นแล้ว ตนยังเชื่อว่า โลกไซเบอร์ในเวลานี้ต้องการกองกำลังแบบที่เรียกว่า "กองกำลังรักษาสันติภาพในไซเบอร์สเปซ" อีกด้วย

วันจันทร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2555

คณาจารย์ ศิษย์เก่า-ปัจจุบัน มธ.แถลงการณ์ด่วนต้านมติ อธิการบดี มธ.








(go6tv-30 มกราคม 2555) หลังจากที่อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เขียนข้อความประกาศห้ามกลุ่มนิติราษฏร์ ดำเนินกิจกรรมของกลุ่มภายในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เมื่อช่วงเย็น ปรากฏว่าช่วงหัวค่ำ ได้มีแถลงการณ์ด่วนจากเหล่าคณาจารย์ ศิษย์เก่า นักศึกษา และประชาชนทั่วไป แสดงความไม่เห็นด้วยดังมีรายละเอียดดังนี้

"สืบเนื่องจากสเตตัสล่าสุดของอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ดร.สมคิด เลิศไพฑูรย์ในเฟสบุ๊ก ใจความว่าด้วยเรื่องของการจะห้ามใช้พื้นที่ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในการเคลื่อนไหวทางความคิดและการขับเคลื่อนประเด็นปัญหาที่เกี่ยวกับกฎหมายอาญามาตรา112 (กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ) เห็นได้ชัดว่านี่เป็นการปิดกั้นเสรีภาพทางความคิด และเสรีภาพทางวิชาการ ในมหาวิทยาลัยที่มีคำขวัญอันโดดเด่นว่า เสรีภาพทุกตารางนิ้ว

มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์นั้นเป็นพื้นที่สำคัญของการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยมาอย่างยาวนานนับตั้งแต่การก่อตั้งมหาวิทยาลัยที่เป็นผลผลิตของคณะราษฎรที่จะมุ่งหวังในการสร้างประชาธิปไตยให้เกิดขึ้นในประเทศไทย มหาวิทยาลัยผ่านประสบการณ์การต่อสู้ทางการเมืองมาโดยตลอดตั้งแต่ ขบวนการ11ตุลาคม2494 ในการเรียกร้องมหาวิทยาลัยคืนจากจอมพล ป., ขบวนการ14ตุลา 2516, ขบวนการ 6ตุลา2519, ฯลฯ เหตุการณ์เหล่านี้ทำให้มหาวิทยาลัยได้รับการยกย่องในฐานะที่เป็นพื้นที่สาธารณะในการส่งเสริมความคิดทางการเมือง และประชาธิปไตย การเปิดให้วิพากษ์วิจารณ์ปัญหาที่แหลมคมควรจะเป็นสิ่งที่มหาวิทยาลัยพึงกระทำโดยไม่มีการกีดกันและคัดค้าน คงจะมิเป็นการกล่าวเกินจริงว่าพื้นที่ทางวิชาการที่สำคัญที่สุดสำหรับประชาชนผู้รักประชาธิปไตยและเป็นพื้นที่ที่เปิดกว้างทางความคิดมากที่สุด คือมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
แต่มติเอกฉันท์ของผู้บริหารเพียงไม่กี่คนนำมาซึ่งการทำลายเสรีภาพในมหาวิทยาลัยอย่างร้ายแรง การจะไม่อนุญาตให้ใช้พื้นที่มหาวิทยาลัยในการเคลื่อนไหวกรณีมาตรา112 เป็นการปิดกั้น ปิดปาก นักศึกษาและประชาชน ผู้กระหายในเสรีภาพทางวิชาการและความถูกต้อง เป็นการทำลายเจตนารมณ์ของผู้ประศาสน์การที่มีความมุ่งหวังว่ามหาวิทยาลัยแห่งนี้จะเป็น “ บ่อบำบัดความกระหายของราษฎร ผู้สมัครแสวงหาความรู้ อันเป็นสิทธิและโอกาส ที่เขาควรมีควรได้ ตามหลักเสรีภาพ ของการศึกษา.”

นักศึกษา, คณาจารย์, ศิษย์เก่า แห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และประชาชนผู้รักในเสรีภาพทางความคิดและการแสดงออก ขอเรียกร้องให้ผู้บริหารทั้งหลายที่ลงมติในการไม่อนุญาตให้มหาวิทยาลัยเป็นพื้นที่ในการแลกเปลี่ยนกรณีการแก้ไขมาตรา112 กลับไปทบทวนว่าความเข้มแข็งของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ตั้งแต่การก่อตั้งในปี พ.ศ. 2478 เป็นต้นมา เป็นพื้นที่ที่ยอมรับความหลากหลายทางความคิดและเปิดกว้างให้มีการใช้เพื่อพูดคุย ถกเถียง ประเด็นทางสังคมและการเมือง ไม่เคยมีครั้งไหนนอกจากยุคเผด็จการที่ผู้บริหารมหาวิทยาลัยมีนโยบายปิดกันไม่ให้นักศึกษาและอาจารย์แสดงเสรีภาพทางความคิด

เราขอเรียกร้องให้ผู้บริหารยกเลิกมติข้างต้น หากมหาวิทยาลัยยังมีคำขวัญที่ว่า “ธรรมศาสตร์มีเสรีภาพทุกตารางนิ้ว” อธิการบดีและผู้บริหารมหาวิยาลัยควรจะเห็นถึงความสำคัญของธรรมศาสตร์ในการเป็นพื้นที่สำคัญในการทำให้ความขัดแย้งบรรเทาลงและยอมให้มหาวิทยาลัยเป็นพื้นที่เปิดที่สามารถจัดกิจกรรมทางสังคม การเมือง และการวิพากษ์วิจารณ์ และถกเถียงอย่างเปิดกว้างอย่างที่เคยเป็นมาตั้งแต่การก่อตั้งมหาวิทยาลัย

ด้วยความเคารพ

รักษ์ชาติ์ วงศ์อธิชาติ อุปนายกองค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์/ นักศึกษาชั้นปีที่3 คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ปกป้อง เลาวัณย์ศิริ อดีตสมาชิกสภานักศึกษาและศิษย์เก่าคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (พ.ศ. 2544 - 2548)
เก่งกิจ กิติเรียงลาภ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ดร. ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ สถาบันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา สิงคโปร์
จิตรา คชเดช ที่ปรึกษาสหภาพแรงงานไทรอัมพ์อินเตอร์เนชั่นแนลแห่งประเทศไทย
เพียงคำ ประดับความ อดีตนักศึกษาคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
จีรนุช เปรมชัยพร อดีตนักศึกษาคณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน รหัส 29
ปองขวัญ สวัสดิภักดิ์ อดีตกรรมการสหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (2553-2554)
ภัควดี วีระภาสพงษ์ ศิษย์เก่าคณะศิลปศาสตร์ ภาควิชาปรัชญา รหัส 256280
บริภัทร ตั้งเสรีกุล นักศึกษาชั้นปีที่ 3 คณะศิลปศาสตร์ เอกปรัชญา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (class of 2013)
ศรวิษฐ์ โตวิวิชญ์ นักศึกษาชั้นปีที่ 4 คณะศิลปศาสตร์ เอกภาษาฝรั่งเศส มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
พัชรี แซ่เอี้ยว อดีตนักศึกษาคณะศิลปศาสตร์ รหัส48
สุเจน กรรพฤทธิ์ อดีตนักศึกษาคณะศิลปศาสตร์ รหัส 43
พันธุ์ภูมิ ผุดผ่อง กรรมการสหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (2554-2555)
ธันย์ ฤทธิพันธ์ ประชาชน
ภูริพัศ เมธธนากุล มนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
คุปต์ พันธ์หินกอง อดีตนักศึกษาคณะเศรษฐศาสตร์
พันธกานต์ ตงฉิน อดีตนักศึกษาคณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน รหัส 48
อนุธีร์ เดชเทวพร อดีตนักศึกษาคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รหัส 49, อดีตอุปนายกองค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปี 2551-2552, อดีตเลขาธิการสหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทยปี 2552-2553
วันเพ็ญ ก้อนคำ/ ประชาชน
น้ําฝน ลิ่วเวหา วารสารศาสตร์48
รุ่งโรจน์ "อริน" วรรณศูทร (นิรันดร์ สุขวัจน์ มธ 159101) / ลาออกปีการศึกษา 2519 "รัฐศาสตร์ ทฤษฎีและปรัชญาการเมือง"
นุชจรีย์ วิริยางกูรภาพ อดีตนักศึกษาคณะพาณิชย์ศาสตร์และการบัญชี
วรวิทย์ ไชยทอง ภาควิชาการปกครอง รัฐศาสตร์ จุฬา ฯ
เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล /ประชาชน
พิเชฐ ยิ่งเกียรติคุณ ศิลปศาสตร์ ธรรมศาสตร์ รหัส 46
ศรีสมร กิจภู่สวัสดิ์, นิสิตเกษตรศาสตร์, รหัส ๒๕๒๕
พิศาล ธรรมวิเศษ ชาวบ้าน
ศิรดา วรสาร อดีตนักศึกษาคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รหัส 50
ธนุต มโนรัตน์ รัฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์
เทพวุธ บัวทุม คนไท
มูหัมหมัดฮาริส กาเหย็ม ราษฎร
สุเทพ ศิริวาโภ นักศึกษาคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น/ประชาชน
นายนิคม โชติพันธ์ ประชาชน
ธนพล พงศ์อธิโมกข์ CCP/ประชาชน
อดิศร เกิดมงคล นักศึกษาปริญญาโท คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
วรัญญา เกื้อนุ่น รหัส 37 คณะนิติศาสตร์ มธ
วรรษชล ศิริจันทนันท์ นักศึกษาชั้นปีที่ 3 คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
อภิวัฒน์ วัฒนพงษ์ อดีตนักศึกษาคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รหัส 49
สุริยัน สินธทียากร ศิษย์เก่าธรรมศาสตร์ คณะเศรฐศาสตร์ รุ่น 24
ศิริวุฒิ บุญชื่น SEAS, ศิลปศาสตร์ '46
นวภู แซ่ตั้ง นักศึกษาปริญญาตรี คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร
วีระพันธุ์ ตรีรัตน์พันธุ์ ราษฎร
ธนากร ปัสนานนท์ นักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปี3
อาดีช วารีกูล รัฐศาตร์การเมืองการปกครองม.รามและมานุษยวิทยาสาขาไทยคดีศึกษาปริญญาโท ม.ทักษิณ สงขลา
นครินทร์ วิศิษฎ์สิน บัณฑิตคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
พีระพล เวียงคำ นักกิจกรรม, นักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาตร์ รหัส 4903610147,อดีตอุปนายกฯ อมธ.ปี 2551-2552
ประวิทย์ พันสว่าง นักเขียน ชาวบ้าน
แวววิศาข์ ณ สงขลา นักศึกษาคณะรัฐศาสตร์ ม.รามคำแหง
ราชาวดี สิริโยธิน อักษรศาสตร์ จุฬา ฯ เกียรตินิยม
สงกรานต์ ป้องบุญจันทร์ นักศึกษา ป.โท คณะนิติศาสตร์ รหัส 2551
ชัยศิริ จิวะรังสรรค์ ศิลปินอิสระ
วินัย ผลเจริญ อดีตนักศึกษาปริญญาโทคณะศิลปศาสตร์ และปริญญาเอก คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
พลิศ ลักขณานุรักษ์ อดีตกรรมการสหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (2553-2554)
สิทธา แสนสมบูรณ์สุขนักศึกษาคณะศิลปศาสตร์ เอกภาษาเยอรมัน รหัส53
นาย พิเศษ นภาชัยเทพ ราษฎร
ยศวัฒน์ ปานโต ประชาชนคนไทยที่ไม่ได้จบธรรมศาสตร์ แต่รู้จักธรรมศาสตร์จากสิทธิเสรีภาพของนักศึกษาในการแสดงออก และปรารถนาให้ธรรมศาสตร์มียึดมั่นในอุดมการณ์ในสิทธิเสรีภาพของการแสดงออก
ประชาเลิศ แซ่เจ็ง ม.รามคำแหง
พัธรพงศ์ เลิศปัญญาธรรม นักศึกษาชั้นปีที่ 3 คณะศิลปศาสตร์ เอกภาษาฝรั่งเศส มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ประภาภูมิ เอี่ยมสม นักศึกษาชั้นปีที่2 คณะมนุษยศาสตร์ เอกอังกฤษ สถาบันการศึกษานานาชาติ ม.รามคำแหง ผุ้ซึ่งเคยชื่นชมมธ.ในฐานะมหาวิทยาลัยที่สนับสนุนการแสดงออกทางการเมือง
ก้าวหน้า เสาวกุล ศิลปศาสตรบัณฑิต มธ. รหัส 47
นางกนกวรรณ เกิดผลานันท์ (นางสาวกนกวรรณ โยธาทิพย์) ศิษย์เก่าคณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รหัสนักศึกษา 3207610746
ธนพล ฟักสุมณฑา
อนุพันธุ์ หงษาชัย รัฐศาสตร์บัณฑิต ม. รามคำแหง ผู้เห็นแก่ประโยชน์ของประชาชนเป็นหลักอย่างแท้จริง
อิทธิพล โคตะมี
อชิรวิชญ์ อันธพันธ์
วรยุทธ ยอดบุญ นิสิตปริญญาโท คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
พรเทพ กมลเพชร เศรษฐศาสตร์บัณฑิต รหัส 48
ปองภพ บูรพกิจลาภา นักศึกษาปีที่ 3 คณะเศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์
ลิขิต เครือบุญมา ศิลปศาสตร์ ปี2
ภิญญพันธุ์ พจนะลาวัณย์ ราษฎร
เกศริน เตียวสกุล นิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์รหัส ๒๐
ชัยพฤกษ์ พัฒน์ดำรงจิตร
คมลักษณ์ ไชยยะ บัณฑิตอาสาสมัคร ม.ธรรมศาสตร์รุ่น 32
ดร.อิสราภรณ์ พิศสะอาด
ลงชื่อค่ะ นารีรัตน์ นิลพิศุทธิ์ บัณฑิตคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ
ณัฐญา เกิดเพชร,วารสารศาสตร์ ธรรมศาสตร์
แคน อุดมเจริญชัยกิจ ธรรมศาสตร์ รหัส52
วีระ หวังสัจจะโชค รัฐศาสตร์ จุฬาฯ
อรุณี พูลสวัสดิ์ ประชาชน
ตันติกร เตริยาภิรมย์ บัณฑิตมหาวิทยาลัยขอนแก่น
เธนศก์ ล้ำเลิศ / ราษฎร
วสวัตติ์ เถื่อนคำ ประชาชน

"สมคิด-อธิการบดี มธ." สั่งห้ามใช้ มธ. เคลื่อนไหว ม.112



ที่ประชุมกรรมการบริหารมหาลัยธรรมศาสตร์ซึ่งประกอบด้วยคณบดี ผู้อำนวยการสำนักสถาบันมีมติเอกฉันท์ว่ามหาลัย คณะสำนักสถาบันจะไม่อนุญาตให้ใช้พื้นที่มหาลัยเพื่อเคลื่อนไหวกรณีมาตรา 112 อีกต่อไป เพราะมหาลัยเป็นสถานที่ราชการ การอนุญาตต่อไปอาจทำให้คนเข้าใจผิดว่าเป็นการดำเนีนการของมหาลัยหรือมหาลัยเห็นด้วยกับการดำเนินการดังกล่าวข้างต้น อีกทั้งอาจนำมาซึ่งความขัดแย้งอย่างรุนแรงภายในบริเวณมหาลัย จนมหาลัยไม่อาจดูแลความปลอดภัยของบุคคลและทรัพย์สินของมหาลัยได้

“อนุดิษฐ์” โต้ “มัลลิกา” ฟ้องละเว้นฯเว็บหมิ่น ต้องรับผิดชอบคำพูดตนเอง

น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ ยืนยันกระทรวงฯเดินหน้าปราบเว็บหมิ่นสถาบันต่อเนื่อง โดยมีหลักฐานเป็นสถิติชัดเจนในการปราบเว็บหมิ่นดังกล่าว พร้อมตั้งข้อสังเกต น.ส.มัลลิกา ฟ้องร้องต้องการอะไร พร้อมย้ำต้องรับผิดชอบคำพูดที่กล่าวหาคนอื่น

น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ รมว.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กล่าวถึงกรณี น.ส.มัลลิกา บุญมีตระกูล รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แจ้งความเอาผิดนายกรัฐมนตรี และ ฝ่ายที่เกี่ยวข้องต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)ฐานละเว้นการปฎิบัติหน้าที่เรื่องการปราบปรามเว็บหมิ่นเบื้องสูงว่า เรื่องนี้มีความชัดเจนอยู่แล้วที่ผ่านมายืนยันว่า กระทรวงไอซีทีดำเนินการปราบปรามต่อเนื่อง แต่ไม่เข้าใจว่าสิ่งที่ น.ส.มัลลิกา พยายามทำอยู่เกิดประโยชน์อะไรเพราะประเด็นเหล่านี้ เป็นเรื่องที่สังคมมีความเข้าใจในการแก้ปัญหาของรัฐบาลอยู่แล้ว แต่การพยายามจุดประเด็นเหล่านี้ไม่ได้เกิดผลดีต่อการบริหารจัดการแน่นอน ถ้าสิ่งที่พูดเป็นเท็จ หรือ ไม่ได้เอาเรื่องที่ถูกต้องมาพูด และ ทำให้ประชาชนเกิดความเข้าใจผิด

"ผมยืนยันว่าจะไม่ปล่อยให้ น.ส.มัลลิกาได้ทำเรื่องแบบนั้นอย่างเสรีโดยไม่ต้องรับผิดชอบ สิ่งที่ น.ส.มัลลิกา พูดต้องรับผิดชอบคำพูดของท่านด้วย และ เมื่อคิดว่าจะไปฟ้องคนอื่น ท่านมั่นใจหรือยังว่าสิ่งที่ท่านพูดนั้นได้พูดข้อเท็จจริงท่านจะต้องไปให้การต่อศาลด้วยเช่นกัน"

รมว.ไอซีที กล่าวอีกว่า เหมือนคราวที่แล้วไม่ได้พูความจริง และ ประณามรวมถึงกล่าวหาข้าราชการไอซีทีว่าละเว้น ซึ่งตนเองในฐานะเจ้ากระทรวงจึงยินยอมให้เกิดการกระทำดังกล่าวไม่ได้ ครั้งนี้เช่นเดียวกันที่บอกว่ากระทรวงไม่ทำงาน หรือ ละเลย แต่เรามีหลักฐานจากศาลฯที่ได้วินิจฉัยการปิดเว็บไซต์ทุกสัปดาห์ มีหลักฐานมากมายและไม่ได้เป็นอย่างที่ น.ส.มัลลิกาพูด และไม่ใช่เรื่องที่ดีที่จะต้องเอาเรื่องนี้มาพูดประชาสัมพันธ์หรือประโคมข่าวแต่อย่างที่ท่านพูด ต้องรับผิดชอบคำพูดตัวเองด้วย

โดยเรื่องนี้มีข้อมูลสถิติชัดเจนแต่เรื่องเหล่านี้เป็นข้อมูลลับถ้าใครที่มีหน้าที่โดยตรงในการตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลสามารถทำเรื่องมาได้จะทำรายงานใส่แฟ้มรายงานให้ ซึ่งส่วนตัวอยากบอกข้อเท็จจริงว่า ไม่มีข้าราชการคนไหนที่ต้องการละเลยการทำงานในหน้าที่ที่ตัวเองรับผิดชอบโดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้

น.อ.อนุดิษฐ์ กล่าวอีกว่า การที่ น.ส.มัลลิกาทำหน้าที่ตรวจสอบเป็นเรื่องที่ดี แต่การตรวจสอบควรมีการนำเอาสิ่งที่ดีถูกต้องชี้แจงกับประชาชนไม่ใช่บอกว่ากระทรวง หรือ รัฐบาลละเลยการทำหน้าที่ ซึ่งก่อนหน้านี้ได้ชี้แจงไปไม่รู้กี่ครั้งกี่รอบแล้ว แต่สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้ไม่พยายามนำเอาสิ่งที่เกิดขึ้นจริงมาพูด แต่ขอตั้งข้อสังเกตว่า ท่านกำลังพยายามบิดเบือนเรื่องดังกล่าวเพื่อให้สังคมเห็นว่ากระทวงไอซีทีไม่ทำงาน มีวัตถุประสงค์อะไร

"ยืนยันว่าข้อความหมิ่นลดลงเรื่อย ๆ แต่ต้องยอมรับว่าทุกครั้งที่มีการจุดกระแส หรือ ปลุกระดมเรื่องดังกล่าว สิ่งเหล่านี้ นักวิชาการหลายคนได้วิเคราะห์วิจัยชัดเจนว่าจะทำให้คนที่ไม่เคยรับรู้ ถูกกระตุ้น และ เข้าไปดูข้อมูลทางอ้อม และ ทำให้จำนวนการเข้าไปเกี่ยวข้องสูงขึ้น ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าการออกมาเคลื่อนไหว ตอนนี้พยายามโยงไปเกี่ยวข้องกับการออกมาเคลื่อนไหวของกลุ่มนิติราษฎร์ที่พยายามจะแก้ไขมาตรา 112 ซึ่งเรื่องนี้เป็นคนละเรื่องกัน" รมว.ไอซีทีกล่าวทิ้งท้าย

เล่นทุกเม็ด "ราษฏรอาสาปกป้องสถาบัน" ร้องผู้ตรวจฯ ให้ "การเลือกตั้งเป็นโมฆะ"

( 30 ม.ค.) นายบวร ยสินทร แกนนำกลุ่มราษฎรอาสาปกป้อง 3 สถาบัน พร้อมคณะได้เข้ายื่นหนังสือต่อนางผานิต นิติทัณฑ์ประภาส ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน ขอให้ตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) โดยให้เสนอเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ผลการเลือกตั้งหลังประกาศใช้รัฐธรรมนูญ 50 เป็นโมฆะ

นายบวร กล่าวว่า หลังการรัฐประหาร 19 ก.ย.49 แม้คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) จะให้ กกต.ทั้ง 4 คน และนายสุเมธ อุปนิสากร ปฏิบัติหน้าที่เป็นกกต.ต่อไป รวมทั้งให้ พ.ร.ป.ว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง 2541 บังคับใช้ต่อไปจนกว่าจะมีกฎหมายแก้ไขเพิ่มเติมหรือยกเลิก แต่ในประกาศ คปค.ฉบับที่ 13 ก็ได้ระบุวัตถุประสงค์ของการให้ กกต.ชุดนี้เข้าปฏิบัติหน้าที่ว่าเพื่อให้มาดำเนินการเกี่ยวกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่นให้เป็นไปโดยสุจริต และมีการเน้นย้ำการให้กกต.มีหน้าที่เฉพาะในการจัดการเลือกท้องถิ่นในประกาศคปค.อีก 2 ฉบับต่อมาคือประกาศคปค.ฉบับที่ 26 และฉบับที่ 32

นายบวร กล่าวอีกว่า และเมื่อรัฐธรรมนูญ 50 และพ.ร.ป.ว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง 2551 มีผลบังคับใช้ ก็ทำให้ กกต.ตามประกาศ คปค. ฉบับที่ 13 และ 26 ต้องสิ้นสุดลง โดยเป็นการสิ้นสุดวาระการดำรงตำแหน่งตามบทเฉพาะกาลแห่งรัฐธรรมนูญ 50 มาตรา 295 299 และเป็นการสิ้นสุดวาระเพราะเหตุอื่นตามมาตรา 234 วรรค 2 ซึ่งต้องมีการสรรหากกต.ใหม่ตามรัฐธรรมนูญ 50 ก่อนที่มีการจัดการเลือกตั้งครั้งต่อไป แต่เมื่อกกต.ชุดนี้กลับทำหน้าที่ต่อไปก็มีผลให้การเลือกตั้งส.ส. เมื่อวันที่ 23 ธ.ค. 50 และ 3 ก.ค. 54 รวมทั้งการเลือกตั้งส.ว.เมื่อ 2 มี.ค. 51 เป็นการเลือกตั้งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญ

ผู้สื่อข่าวถามว่าเหตุใดจึงเพิ่งจะมายื่นเรื่องร้องเรียน และทำไมจึงไม่ร้องให้การสรรหา ส.ว.เป็นโมฆะ นายบวร กล่าวว่า เนื่องจากทางกลุ่มเพิ่งเห็นความบกพร่องของกฎหมาย ซึ่งแม้ประกาศ คปค.จะให้คง พ.ร.ป.ว่าด้วยคณะกรรมการเลือกตั้ง 2541 เอาไว้โดยมีบทบัญญัติให้ กกต. มีอำนาจในเรื่องการจัดการเลือกตั้งส.ส.ก็ตาม แต่เรื่องอำนาจกับหน้าที่ เป็นคนละคนเรื่องกัน เหมือนพ.ร.บ.ตำรวจที่ให้อำนาจตำรวจจับคนร้าย แต่ตำรวจจราจร ก็มีหน้าที่ดูแลในเรื่องการจราจร ซึ่งกรณีนี้ประกาศคปค.ฉบับที่ 13 กับ 26 เขียนให้ กกต.มีหน้าที่เพียงแค่จัดการเลือกตั้งท้องถิ่นเท่านั้น ส่วนที่ไม่ร้องให้การสรรหาส.ว.เป็นโมฆะเนื่องจากตามกฎหมายบัญญัติให้กกต.เป็นเพียงหน่วยงานธุรการของคณะกรรมการสรรหาส.ว.เท่านั้น แม้ว่าประธานกกต.จะเป็นกรรมการสรรหาส.ว.ก็ไม่เป็นผล

นายบวร ยังกล่าวด้วยว่า ที่มายื่นเรื่องร้องเรียนในขณะนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสถานการณ์การเมืองในขณะนี้ หรือเกี่ยวข้องกับพรรคการเมืองใด เพราะทางกลุ่มเคลื่อนไหวในเรื่องของการปกป้องสถาบันฯมาก่อนหน้านี้แล้วในนามภาคประชาชน

ช็อค! ปิงปอง-สะแกวัลย์รับ "ขับรถชนคนตาย 2 ศพเอง"





ช็อกวงการหลายต่อหลายคนไม่น้อยในส่วนของนักแสดงสาว 'ปิงปอง สะแกวัลย์ ยงใจยุทธ' หลังเจ้าตัวออกมายอมรับว่าเธอเป็นคนขับรถเองในเหตุการณ์อุบัติเหตุรถชนที่ จ.ชลบุรี เมื่อปลายปีที่แล้วจนทำให้มีผู้เสียชีวิตไป 2 ศพ!

ทั้งนี้อุบัติเหตุดังกล่าวได้เกิดขึ้นในช่วงเวลาประมาณสามทุ่มของวันที่ 16 ธันวาคม 255 หลังรถยนต์ที่นักแสดงสาวนั่งมาพร้อมกับนายมิตรชัย เขียวชอุ่ม อายุ 47 ปี ได้ชนประสานงาเข้าอย่างจังกับรถปิคอัพคันหนึ่งบริเวณถนนสายบ้านชากนา – คลองสิบแปด หมู่ที่ 3 ต.เขาซก อ.หนองใหญ่ จ.ชลบุรี

หลังเกิดเหตุจากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่พบว่ามีผู้เสียชีวิต 2 ศพ คือนายมิตรชัยคนขับรถของดาราสาว และนายบุญเชิด บุญนากร วัย 51 ปีเจ้าของรถปิคอัพ ขณะที่นักแสดงสาวนั้นได้รับบาดเจ็บสาหัส กระดูกหักหลายแห่งก่อนถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลใน จ.ชลบุรี โดยจากการสอบสวนจากผู้เห็นเหตุการณ์ระบุว่ารถยนต์ของดาราสาวนั้นขับมาด้วย ความเร็วสูง เมื่อมาถึงจุดเกิดเหตุซึ่งเป็นทางขับขึ้นเนินจึงมองไม่เห็นรถกระบะที่ขับสวน ทางจึงชนกันอย่างจังเป็นเหตุให้เกิดไฟลุกท่วมจนมีผู้เสียชีวิตและได้รับบาด เจ็บดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม จากข่าวที่ออกมาในระยะแรกๆ หลายคนต่างเข้าใจว่านายมิตรชัย ซึ่งเป็นคนขับรถของนักแสดงสาวนั้นเป็นผู้ขับรถจนกระทั่งเกิดอุบัติเหตุ ทว่าล่าสุดทางด้านของสาวปิงปองซึ่งมีอาการดีขึ้นกลับออกมาเปิดเผยกับรายการ 'เรื่องเด่นเย็นนี้' ทางช่อง 3 เทปที่จะออกอากาศในวันนี้ (30 ม.ค.) โดยระบุว่าในวันนั้นตนเป็นคนขับรถดังกล่าวด้วยตนเอง

โดยนักแสดงสาวยังบอกต่อไปด้วยว่า สาเหตุที่ตนต้องออกมาเปิดเผยถึงเรื่องนี้ก็เพราะทนไม่ได้กับความรู้สึกผิดใน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เฉพาะอย่างยิ่งกับลุงคนขับรถที่ต้องมากลายเป็นคนผิดแทนตนเอง และหากจะมีผลอะไรตามมานั้นตนก็พร้อมจะยอมรับ ส่วนรายละเอียดจะเป็นอย่างไรนั้น 'บันเทิง ออนไลน์' จะนำมาเสนอให้ทราบต่อไป

ภาพรถตู้ค้างสะพานรัชวิภาฯ


สมาชิกเว็บไซต์เครือข่ายสังคมออนไลน์ทวิตเตอร์ ที่ใช้ชื่อว่า iamOriole ได้โพสต์เผยแพร่ภาพเหตุการณ์รถตูุ้โดยสารคันหนึ่งประสบอุบัติเหตุ แล่นเสียหลักหลุดจากเลนและหัวปักค้างอยู่บนสะพานข้ามแยกรัชวิภาฯ ฝั่งขาออก เมื่อเวลาประมาณ 7:30 น. ที่ผ่านมา และภาพๆ นี้ได้รับการโพสต์ลิงก์ต่อๆ กันไปในทวิตเตอร์อย่างแพร่หลาย

ต่อมา ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภาพดังกล่าวเป็นภาพรถตู้โดยสาร สายเดอะมอลล์งามวงศ์วาน-เดอะมอลล์บางกะปิ ประสบอุบัติเหตุชนขอบทางบนสะพานต่างระดับรัชวิภา มุ่งหน้ารัชโยธิน ขึ้นไปค้างอยู่บนขอบทาง แต่ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บ หลังจากฝนตกทำให้ถนนเลื่อน

หมายเหตุ : ภาพข่าวจากทวิตเตอร์ @iamOriole

นิทาน(หลอกเด็ก)เรื่อง NED กับแดงล้มเจ้า ของสนธิ ลิ้มทองกุล

วันก่อน(27 ม.ค. 55) สนธิ ลิ้มทองกุลจัดรายการคนเคาะข่าวแล้วพูดถึงเรื่องเงินสนับสนุนการล้มเจ้าในไทยอยู่ช่วงหนึ่ง ลองอ่านย่อหน้าด้านล่างนี้ดู

นายสนธิ ยังเปิดเผยอีกว่า NED-National Endowment for Democracy ให้เงินเอ็นจีโอไทยมาเกือบ 1 ล้านเหรียญ โดยเฉพาะเว็บไซต์ประชาไท ซึ่งผู้อำนวยการเว็บไซต์ถูกดำเนินคดีข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ได้มาก้อนหนึ่ง 5 แสนเหรียญ หรือ 15 ล้านบาท ไปอบรมผู้นำท้องถิ่นให้เข้าใจเรื่องบทบาท ส.ส. ซึ่งก็เป็นผู้นำท้องถิ่นที่ใส่เสื้อแดงนั่นเอง ถึงเว็บไซต์ประชาไทจะปฏิเสธว่าการให้เงินมาไม่มีสิทธิต่อรองในการเสนอข่าว แต่ตนไม่เชื่อ เพราะเว็บไซต์นี้มีการจาบจ้วงและหมิ่นสถาบันฯ มาโดยตลอด

และ

พี่น้องรู้ไหม องค์กร NED – National Endowment for Democracy หรือที่ผมแปลเป็นภาษาไทยว่า องค์กรบริจาคเงินเพื่อประชาธิปไตยนั้น ปีที่แล้วให้เงินผ่านเอ็นจีโอเมืองไทยมาเท่าไร เกือบล้านเหรียญสหรัฐฯ เกือบ 30 ล้านบาท และพี่น้องรู้ไหมว่า มีเว็บไซต์ เว็บไซต์หนึ่ง ที่ได้รับเงินจาก NED 70 หรือ 80 % ของเงินที่ใช้เว็บไซต์นี้ มาจากงบของ NED คืองบฝรั่ง เว็บไซต์นั้นชื่อ เว็บไซต์ประชาไท ในรูปที่เห็นนั้น ผู้หญิงคนนี้คือ ผู้อำนวยการเว็บไซต์นี้ ซึ่งถูกข้อหาหมิ่นเจ้าไปแล้ว แปลกมาก ไม่มีใครปิดเว็บไซต์นี้ได้ เว็บไซต์นี้เส้นใหญ่เหลือเกิน ทั้งที่เว็บไซต์นี้เป็นเว็บไซต์สื่อกลางของพวกซ้ายล้มเจ้า พวกใต้ดินที่ต้องการล้มเจ้า แล้วรับเงินโดยตรงมาจาก NED หลักฐานมีหมด เพราะว่าองค์กรของอเมริกาเวลาให้เงินใคร ต้องลงโฆษณา ต้องแถลง เข้าไปเช็กได้ข่าวระบุชัด ให้เงิน ทางนี้ปฏิเสธว่า ถึงจะให้เงินก็ไม่มีสิทธิ์ไม่มีอำนาจต่อรองว่าเรื่องข่าวไหนควรจะลงไม่ควรจะลง ท่านผู้ชมเชื่อหรือเปล่าคำพูดอย่างนี้ ผมไม่เชื่อ เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว

เพราะฉะนั้นเว็บไซต์ประชาไท จะเป็นเว็บไซต์ที่จาบจ้วงสถานบันกษัตริย์ หมิ่นสถาบันกษัตริย์มาตลอดเวลา ภาพที่ท่านเห็นคือเว็บไซต์ของ NED ระบุชัดเลยว่า Thailand ว่าให้เงินใครบ้าง มีอยู่ก้อนให้ไป 500,000 เหรียญสหรัฐ เท่ากับ 15 ล้านบาท เอาไปให้จัดสัมมนากับผู้นำท้องถิ่นเพื่อให้เข้าใจบทบาท ส.ส.มากขึ้น แล้ววันนี้ผู้นำท้องถิ่นที่ให้เงินจัดสัมมนาคือผู้นำอะไร ผู้นำท้องถิ่นที่ใส่เสื้อแดง เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ชัด

ที่มา “สนธิ”แฉทุนมะกันหนุนหลังแก๊งล้มเจ้า-หวังยึดไทยสานฝันครองเอเชียแปซิฟิก

ในฐานะที่รู้จักทุน NED และทำงาน NGO พอได้อ่านสิ่งที่สนธิพูดมาก็อดขำไม่ค่อยได้ เลยคิดว่าน่าจะเขียนอะไรถึงซักหน่อย…เรามาดูกันดีกว่าว่า NED ให้ทุนใครบ้าง ให้ทุนแดงล้มเจ้าจริงมั้ย?
จากหน้าเวบที่สนธิอ้างถึง http://ned.org/where-we-work/asia/thailand เรื่องการให้ทุนของ NED (ทุนของ NED เป็นทุนที่ตรวจสอบได้ เพราะอย่างที่สนธิพูดนั่นแหละว่าเป็นทุนที่ได้เงินผ่านมาทางสภาคองเกรสของสหรัฐแล้ว NED จะเป็นคนพิจารณาว่าจะให้ทุนกับโครงการไหนที่เขียน proposal เข้าไปส่ง – ถ้าอยากได้ลองเขียนไปขอก็ได้นะ) เราจะพบว่าองค์กรที่รับทุนของ NED ในประเทศไทยมีทั้งหมดดังนี้

มาดูกันทีละองค์กรดีกว่าว่ามีใครบ้าง:

องค์กรแรก Campaign Committee for Human Rights (CCHR) หรือชื่อไทยคือ คณะกรรมการรณรงค์เพื่อสิทธิมนุษยชนไทย(ครส.) ที่มีเรื่องราวโด่งดังในปี 2009 ในประเด็นเรื่อง Sexual Harassment ในองค์กร โดย NED ให้เงินครส.เพื่อทำเรื่อง Human Rights Defender หรือนักปกป้องสิทธิมนุษยชนในทุกภาคส่วน สำหรับใครที่สงสัยความแดงขององค์กรนี้ ดูชื่อที่ปรึกษาอย่างปรีดา เตียสุวรรณ์ น่าจะการันตีความแดงได้ ครส.ได้เงินจาก NED ทั้งสิ้น 50,000 เหรียญสหรัฐ

องค์กรต่อมา Center for International Private Enterprise (CIPE) องค์กรนี้เป็นองค์กรระหว่างประเทศ ทำงานด้านการต่อต้านคอรัปชั่น โดยพาร์ทเนอร์ที่ทำงานร่วมกันในไทยคือ Thai Institute of Directors (IOD) หรือชื่อไทยคือ สมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย ก่อตั้งขึ้นโดยการสนับสนุนของหน่วยงานหลักที่เกี่ยวข้องกับตลาดทุน คือ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ธนาคารแห่งประเทศไทย มูลนิธิกองทุนพัฒนาระบบตลาดทุน รวมทั้งองค์การระหว่างประเทศคือธนาคารโลก (World Bank) สำหรับโครงการที่ CIPE ได้มาทำในประเทศไทย ได้เงินจาก NED 149,041 เหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นโครงการที่เรื่องความตื่นตัวของภาคธุรกิจเกี่ยวกับการคอร์รัปชั่น

องค์กรที่ 3 คือ Cross Cultural Foundation (CRCF) หรือ มูลนิธิผสานวัฒนธรรม มีสมชาย หอมลออ (อีกข่าว) ที่ได้รับการแต่งตั้งเป็น คอป.ในสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ เป็นประธานมูลนิธิฯ นี่ก็น่าจะช่วยรับประกันความแดงขององค์กรได้ CRCF ได้ทุนจาก NED 50,000 เหรียญสหรัฐ

องค์กรที่4 Environmental Litigation and Advocacy for the Wants (ENLAW) โครงการนิติธรรมสิ่งแวดล้อม ทำเรื่องคดีสิ่งแวดล้อมระหว่างรัฐ/นายทุนกับชุมชน ไม่เกี่ยวกับเรื่องการเมือง ได้เงินไป 40,000 เหรียญสหรัฐ

องค์กรที่5 Foundation for Community Educational Media มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน ได้ไป 50,000 เหรียญสหรัฐ เพื่อจัดทำเวบข่าวประชาไท(อันนี้คงไม่ต้องพูดมาก เพราะสนธิน่าจะพูดไปหมดแล้ว)

องค์กรต่อมา National Democratic Institute for International Affairs (NDI หรือ NDIIA) ได้เงินไปถึง 500,000 เหรียญสหรัฐ เดี๋ยวมาดูกันทีหลังว่าองค์กรนี้เป็นใครมาจากไหน ทำไมถึงได้เงินเยอะขนาดนี้

องค์กรสุดท้ายตามลิสท์ที่ NED ประกาศไว้ Thai Volunteer Service (TVS) หรือ มูลนิธิอาสาสมัครเพื่อสังคม(มอส.) ที่สำนักงานตั้งอยู่ที่เดียวกับประชาไทและคณะกรรมการรณรงค์เพื่อการปฏิรูปสื่อ (คปส.) ที่คุณสุภิญญา กลางณรงค์เคยทำอยู่ (และในอดีตก็ตั้งอยู่ที่เดียวกับ ครป. ที่สุริยะใส กตะศิลาเคยทำอยู่) ได้ไป 50,000 เหรียญสหรัฐเช่นกัน

จากลิสท์รายชื่อที่มีอยู่ในเวบไซท์ก็น่าจะพอบอกแนวทางบางอย่างได้บ้าง แต่เรามาดูกันดีกว่าว่าองค์กรที่ได้เงินทุนถึง 500,000 เหรียญสหรัฐที่นายสนธิบอกว่า “…มีอยู่ก้อนให้ไป 500,000 เหรียญสหรัฐ เท่ากับ 15 ล้านบาท เอาไปให้จัดสัมมนากับผู้นำท้องถิ่นเพื่อให้เข้าใจบทบาท ส.ส.มากขึ้น แล้ววันนี้ผู้นำท้องถิ่นที่ให้เงินจัดสัมมนาคือผู้นำอะไร ผู้นำท้องถิ่นที่ใส่เสื้อแดง เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ชัด” นั้นคือใคร

National Democratic Institute for International Affairs หรือ NDI เป็นองค์กรที่เบสที่วอชิงตัน ดี.ซี. ทำงานด้านการพัฒนาประชาธิปไตยในหลายประเทศทั่วโลก ซึ่ง mandate ของ NDI ก็ถือว่าตรงกับเป้าประสงค์ของ NED อยู่มากทีเดียว เมื่อลองมาโฟกัสดูในส่วนของประเทศไทย ซึ่งนายสนธิได้บอกว่าเงิน 500,000 เหรียญสหรัฐนั้นถูกใช้ไปจัดสัมมนากับผู้นำท้องถิ่นที่เป็นเสื้อแดง(หรือบ่มเพาะให้เป็นเสื้อแดง) ในส่วนของประเทศไทย NDI ได้แจ้งไว้ในหน้า http://www.ndi.org/thailand ว่าทางองค์กรมีกิจกรรมโครงการใดบ้างในประเทศ โดยย่อหน้าที่สำคัญควรอ่านคือ Current NDI Programs ซึ่งเขียนว่า

Current NDI Programs
Since 2007, the Institute has worked on programs to restore democratic institutions, strengthen and promote political party development and increase dialogue between elected officials and constituents.

NDI’s current National Endowment for Democracy-funded program promotes citizen participation in political processes and strengthens the relationship between citizens and newly elected representatives. Together with the King Prajadhipok Institute and the Political Development Council, constituency dialogues aimed at increasing citizen participation are being coordinated to address concerns in 12 target provinces.

โครงการล่าสุดของ NDI ซึ่งได้รับเงินสนับสนุนจาก NED คือการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการทางการเมือง แค่เสริมศักยภาพ/ความเข้มแข็งของความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนและส.ส.ที่ได้รับเลือกมา และที่สำคัญคือ…โครงการนี้ NDI ไม่ได้ทำโดยลำพัง แต่หากเป็นความร่วมมือกับ the King Prajadhipok Institute (KPI) หรือสถาบันพระปกเกล้า และ Political Development Council สภาพัฒนาการเมือง

เมื่ออ่านมาถึงบรรทัดนี้เราก็พลันร้องเหยดดดด ขึ้นมาในใจ นี่แปลว่าสถาบันพระปกเกล้าและสภาพัฒนาการเมืองสนับสนุนเสื้อแดง(ล้มเจ้า)อย่างนั้นหรือ? หรือจริงๆ แล้ว เรื่อง NED สนับสนุนแดงล้มเจ้าเป็นเพียงแค่ทฤษฎีสมคบคิดโลกเก่าที่ว่าอเมริกาจะครองโลก(ผู้นำความคิดนี้ ณ เวลานี้คือบลอกเกอร์ชื่อดัง(?) ที่ใช้นามแฝงว่า Land Destroyer - สนธิเองก็ใช้ภาพจากหน้าบลอกของ Land Destroyer ในรายการด้วย) เรื่องนี้ผู้อ่านก็น่าจะสามารถพิจารณาเองได้ไม่ยากนัก

แต่จริงๆ แล้วนายสนธิไม่ควรลืมกรณีปฏิญญาฟินแลนด์ว่าผลของการจับแพะชนแกะนั้นเป็นอย่างไร…นี่เตือนกันด้วยความเป็นหวังดี เพราะถ้าวันดีคืนดีเกิด NED ประชาไท NDI สถาบันพระปกเกล้า สภาพัฒนาการเมือง ลุกขึ้นมาฟ้องร้องในกรณีการหมิ่นประมาทขึ้นมาท่าทางจะดูไม่จืดเลยทีเดียว

ไว้ถ้าว่างๆ อีกเมื่อไหร่ จะลองหาเวลามาเขียนเพิ่มเรื่องทำไมอเมริกาถึงไม่น่าจะคิดล้มล้างสถาบันกษัตริย์ของไทย แต่ต้องว่างจริงๆ และอ่านหนังสือให้จบก่อน

หมายเหตุ:สำนักข่าว ASTV ควรพิจารณาการเขียนข่าวของคนเขียนสรุปรายการคนเคาะข่าวตามลิงค์ที่ให้ไว้ข้างบนได้แล้ว เพราะสรุปความผิดไปหลายกิโลเมตร จากที่ว่าองค์กรหนึ่ง(ซึ่งก็คือ NDI) ได้เงินจาก NED มา 5แสนเหรียญ ไปเป็น “โดยเฉพาะเว็บไซต์ประชาไท ซึ่งผู้อำนวยการเว็บไซต์ถูกดำเนินคดีข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ได้มาก้อนหนึ่ง 5 แสนเหรียญ หรือ 15 ล้านบาท ไปอบรมผู้นำท้องถิ่นให้เข้าใจเรื่องบทบาท ส.ส. ซึ่งก็เป็นผู้นำท้องถิ่นที่ใส่เสื้อแดงนั่นเอง” ถ้านี่ไม่ใช่ความตั้งใจของ ASTV ที่จะก่อให้เกิดความเข้าใจผิด(โดยฉวยโอกาสจากความเป็นคนขี้เกียจอ่านหนังสือของคนไทย) ก็แปลว่าคนที่เขียนข่าวนี้ไม่มีความสามารถในการเขียนมากพอที่จะเป็นนักข่าวได้

ขอขอบคุณ

http://mhonism.com/2012/01/29/%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%81/


วันอาทิตย์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2555

ปาปิงปอง "อุตฯกรุงเทพ" และ "เทคโนบางกะปิ" ตะลุมบอน



ช่างอุตสาหกรรมกรุงเทพฯ กับเทคโนบางกะปิยกพวกตะลุมบอนไล่ฟันกันกลางแยกพัฒนาการ แถมปาระเบิดปิงปองสร้างความวุ่นวายได้รับบาดเจ็บ 4 ราย ขณะที่ตำรวจเข้าระงับเหตุรวบตัวนักศึกษาสองสถาบันได้ทัน 28 ราย พร้อมยึดของกลางมีดดาบ มีดหัวตัด ระเบิดปิงปอง ปืนปลอม

เสียง 911 หาม "เดมี มัวร์" ส่งโรงพยาบาล



เว็บไซต์เรดาร์ ว่า เจ้าหน้าที่รับแจ้งเหตุฉุกเฉิน 911 ของสหรัฐ หามดาราซูเปอร์สตาร์รุ่นใหญ่ของฮอลลีวู้ด เดมี่ มัวร์ วัย 49 ปี เข้าโรงพยาบาล ช่วง 5 ทุ่มคืนวันอังคารที่ผ่านมา ตามเวลาสหรัฐ หลังจากเดมี่ มัวร์สลบคาบ้าน เพราะสุขภาพทรุดโทรม ซึ่งแหล่งข่าวเผยว่า แพทย์บำบัดรักษาอาการ "อนอเร็กเซีย" หรือโรคผอมผิดปกติ เนื่องมาจากความผิดปกติในการกินไม่ได้นอนไม่หลับ นอกจากนี้แพทย์ยังตรวจพบสารเสพติดที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย

เดมี่ มัวร์มีความผิดปกติทางร่างกายที่ซูบผอมลงตั้งแต่ปลายปีก่อน ช่วงเกิดข่าวมีปัญหารักกับหนุ่มแอชตัน คุตเชอร์ คู่รักต่างวัย ที่อายุ 33 ปี นอกใจไปมีสัมพันธ์สวาทกับสาวอื่น กระทั่งทั้งสองออกแถลงการณ์แยกทางกัน โดยเดมี่ยื่นฟ้องหย่าในเดือนพ.ย. ยุติชีวิตสมรสที่ดำเนินมา 6 ปี ส่วนในช่วงเกิดเหตุล่าสุดนี้ คุตเชอร์ไปร่าเริงอยู่ที่ประเทศบราซิล และคบหานักเขียนบทหนังในวัยเดียวกัน

วันเสาร์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2555

คลิปนายกฯ ยิ่งลักษณ์ : Women as the Way Forward

Watch live streaming video from worldeconomicforum at livestream.com

‘เขตต์-แนท" ปลื้มรับพระราชทานน้ำสังข์จาก "สมเด็จพระเทพฯ"





พระเอกหนุ่ม ‘เขตต์ ฐานทัพ’ และ ‘แนท’เปรมิการ์ ธนโรจน์ประดิษฐ์ เข้าพิธีรับพระราชทานน้ำสังข์ จาก สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี หลังจากเสร็จพิธีพระราชทานน้ำสังข์ คู่บ่าวสาวได้เดินทางออกมาให้สัมภาษณ์ที่ด้านหน้าประตูพระราชวัง ด้านราชวิถี


โดย ‘เขตต์’ เผยถึงความรู้สึกว่า ช่วงแรกตนยังไม่รู้สึกตื่นเต้นเท่าไหร่ เพราะวันนี้มีคู่บ่าวสาวเข้ารับพระราชทานน้ำสังข์ทั้งหมด 8 คู่ และตนเป็นคู่สุดท้าย แต่พอใกล้ถึงคู่ของตนก็ยิ่งรู้สึกตื่นเต้นมาก ปลาบปลื้ม และรู้สึกเป็นเกียรติกับวงศ์ตระกูลของเราทั้งสองคนมาก พระองค์ท่านทรงตรัสประทานพรว่า ขอให้เจริญรุ่งเรือง และให้มีความสุข


ผู้สื่อข่าวถามต่อว่าถึงงานฉลองมงคลสมรสพระราชทานที่จะมีขึ้นในวันพรุ่งนี้(27ม.ค.) ที่ โรงแรมรอยัล ออร์คิด เชอราตัน จะมีพิธีการอย่างไรบ้าง เจ้าบ่าวตอบว่า พรุ่งนี้จะแถลงข่าวกับสื่อมวลชล เวลา 16.00 น. ออกมารับแขกที่มาร่วมงานเวลา 18.00 น. และเวลา 19.00 น. เป็นพิธีการบนเวที ซึ่งชุดบ่าวสาวจะมีทั้งหมด 3 ชุด ธีมงานเป็นไปแบบเรียบง่ายและโทนสีชมพู-ทอง


ต่อข้อซักถามที่ว่าจะมีการจดทะเบียนเลยหรือไม่ เจ้าสาว เผยว่า ได้จดทะเบียนกันไปเมื่อ วันที่14 ต.ค. 54 เป็นฤกษ์ที่คุณแม่ตนไปหามา ส่วนเรื่องทายาทตนยังไม่พร้อมที่จะมีในปีนี้ ขอทำงานสร้างครอบครัวกันไปก่อน


ผู้สื่อข่าวถามต่อถึงเรื่องสินสอดว่ามีอะไรบ้าง ‘เขตต์’ กล่าวว่า มีเงินสด เครื่องเพชร ทอง ครบตามประเพณี โดยพรุ่งนี้ (27 ม.ค.) แนทจะใส่เครื่องเพชรชุดที่เป็นของหมั้น ส่วนแหวนหมั้นก็ประมาณ 3 กะรัต

ม็อบเจ้าแม่ปฏิทินโป๊ล่มปากอ่าว มาไม่ถึงสิบ?


ตามที่ น.ส.จิตภัสร์ ภิรมย์ภักดี รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ นัดชุมนุมม็อบรักในหลวง ต่อต้านการแก้ไขมาตรา 112 ในวันที่ 28 ม.ค.เวลา 12.00 น. โดยขอเชิญชวนไปยังคนรุ่นใหม่ และผู้มีใจรักในสถาบันพระมหากษัตริย์ ให้มารวมตัวกันที่ลานพระบรมรูปทรงม้า เพื่ออ่านแถลงการณ์แสดงความจงรักภักดีต่อสถาบัน และรณรงค์ต่อต้านการเคลื่อนไหวของกลุ่มนิติราษฎร์ ที่เสนอให้แก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ที่ถือว่าเป็นเรื่องที่กระทบต่อสถาบัน แม้ตนจะเป็นคนรุ่นใหม่โตมาไม่ทันได้เห็นสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงงานหนัก แต่พ่อและแม่ของตนก็สั่งสอนให้พวกเราจงรักภักดีต่อพระองค์ท่าน

ล่าสุดเมื่อเวลา 12.00 น.ดังกล่าว ปรากฏมีฝนฟ้าคะนองถล่มกรุงเทพมหานคร จนทำไมบริเวณลานพระบรมรูปทรงม้ามีฝนตกหนัก และไม่ปรากฏกลุ่มคนชุมนุมคึกคักเหมือนคาดหมายแต่แรก มีเพียงคนมารอประปรายและพอฝนมาก็วิ่งสลายตัวกลับกันหมด


ขอขอบคุณภาพจากทวิตเตอร์ Mr. Kasem Intapat

คลิป "พิธีเปิด World Economic Forum" เมืองดาวองส์




นายกรัฐมนตรีตอกย้ำบทบาทหญิงเท่าเทียมชายเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน
(27/1/2012)
นายกรัฐมนตรีกล่าวเปิดการหารือและเข้าร่วมเป็นผู้อภิปรายในการอภิปรายเต็มคณะ ในหัวข้อ "Women as the Way Forward" ระบุทุกวันนี้ในเกือบทุกภูมิภาคของโลก ผู้หญิงยังคงต้องเผชิญกับปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเพศ ย้ำรัฐบาลตั้งกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีแห่งชาติขึ้นเป็นครั้งแรกในไทย


วันนี้ (27 ม.ค.55) เวลา 16.00 น. (ตามเวลาท้องถิ่น) ณ Congress Hall, Congress Centre เมืองดาวอส สมาพันธรัฐสวิส นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวเปิดการหารือและเข้าร่วมเป็นผู้อภิปรายในการอภิปรายเต็มคณะ ในหัวข้อ "Women as the Way Forward"

โดยนายกรัฐมนตรีได้กล่าวแสดงความยินดีที่ได้รับเชิญให้เป็นผู้กล่าวเปิดและร่วมอภิปรายเรื่อง Women as the Way Forward ในวันนี้ และกล่าวว่าตนเองรู้สึกโชคดีที่ได้เกิดและเติบโตขึ้นในสังคมไทย ซึ่งมีความเท่าเทียมระหว่างหญิงชายสูง ทำให้มีโอกาสได้รับการศึกษาที่ดี ได้ดำรงตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงในบริษัทเอกชนชั้นนำ และสุดท้ายได้รับเลือกจากประชาชนทั่วประเทศให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย


นายกรัฐมนตรี กล่าวว่าแม้ว่าตนเองจะเป็นตัวอย่างของผู้หญิงโชคดี แต่ทุกวันนี้ ในเกือบทุกภูมิภาคของโลก ผู้หญิงยังคงต้องเผชิญกับปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเพศ เมื่อเทียบกับผู้ชายแล้ว ผู้หญิงโดยเฉลี่ยยังคงได้รับการศึกษาต่ำกว่า เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ยากกว่า มีรายได้น้อยกว่า ถูกกีดกันไม่ให้ถือครองที่ดินหรือทรัพย์สิน และยิ่งไปกว่านั้น ผู้หญิงยังตกเป็นเหยื่อของการล่วงละเมิดทางเพศและการทารุณกรรมอีกด้วย


ผู้หญิงแม้ว่าจะมีข้อด้อยกว่าผู้ชายในเรื่องของสรีระและพละกำลัง แต่ก็มีจุดแข็งหลายด้าน เช่น ความรอบคอบ เข้าใจปัญหา ความประนีประนอม และสัญชาตญาณความเป็นเพศแม่ นอกจากนี้จากการศึกษาพบว่าผู้หญิงมีความสามารถในการออมและความน่าเชื่อถือในเรื่องการชำระหนี้ อีกด้วย ดังนั้น หากผู้หญิงได้รับการสนับสนุนอย่างเท่าเทียมกับผู้ชายแล้ว จะทำให้ได้มีการใช้ทรัพยากรมนุษย์อย่างเต็มที่ ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน


นายกรัฐมนตรียังมองอีกว่าการผลักดันให้เกิดพลังของผู้หญิงและการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเพศจะต้องเริ่มจากการแก้ไขปัญหาที่ฝังรากลึกในวัฒนธรรมและแนวคิดทางสังคม โดยส่วนหนึ่งของความล้มเหลวในการแก้ไขปัญหาที่ผ่านมา อาจจะเป็นเพราะว่าผู้กำหนดนโยบายไม่ได้แก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุอย่างแท้จริง


"รัฐบาลจึงได้มีการจัดตั้งกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีแห่งชาติขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย โดยมุ่งหวังว่าจะสนับสนุนและส่งเสริมให้สตรีไทยเป็นพลังสำคัญและการสร้างสรรค์และพัฒนาประเทศ กองทุนนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยสนับสนุนการแก้ไขปัญหาของสตรี รวมทั้งปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่กระทำต่อสตรีเท่านั้น หากแต่ยังเป็นส่วนสำคัญในการเสริมสร้างการพัฒนาศักยภาพของสตรีไทย (Empowerment) และรวมถึงการสร้างความเข้มแข็งและการพัฒนาเครือข่าย (Partnership) ให้สตรีไทยได้มีบทบาทอย่างมากในการร่วมแก้ปัญหาและพัฒนาประเทศต่อไป"

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังย้ำว่าพร้อมที่จะให้ความสำคัญและสนันสนุนกับการพัฒนาเด็กหญิง (The Girl Effect) เพราะเมื่อคุณให้การศึกษาแก่เด็กหญิงหนึ่งคน คุณกำลังให้การศึกษาแก่คนทั้งชุมชน (When you educate a girl, you educate a community)" รัฐบาลชุดนี้จึงได้เน้นการลงทุนในด้านการศึกษาให้แก่เด็กหญิงเพื่อที่จะช่วยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น มีรายได้ที่มากกว่าเดิม สามารถเป็นผู้หาเลี้ยงครอบครัว และเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาระบบเศรษฐกิจและการเมืองโลกอย่างมั่นคงต่อไป


นายกรัฐมนตรีกล่าวแสดงความหวังว่าการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างผู้เข้าร่วมอภิปรายที่ล้วนแต่เป็นผู้หญิงที่ประสบความสำเร็จและมีความรู้ความสามารถในวันนี้ จะเป็นอีกก้าวหนึ่งในการสร้างแนวทางการขับเคลื่อนและพัฒนาบทบาทของสตรี เพื่อส่งเสริมให้ผู้หญิงสามารถก้าวขึ้นมาเป็นอีกหนึ่งกำลังสำคัญควบคู่ไปกับผู้ชายได้ในทุกภาคส่วนอย่างแท้จริง


ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีได้แจ้งต่อที่ประชุมว่า ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพการประชุม World Economic Forum on East Asia ที่กรุงเทพฯ ระหว่างวันที่ 30 พฤษภาคม - 1 มิถุนายน 2555 ภายใต้หัวข้อ "Shaping the Region's Future through Connectivity" โดยจะมีการหารือถึงแนวทางการสร้างความเจริญเติบโตให้กับเศรษฐกิจโลกผ่านมิติด้านการพัฒนา ซึ่งการเพิ่มบทบาทของสตรีน่าจะเป็นหนึ่งในประเด็นสำคัญ พร้อมกันนี้นายกรัฐมนตรีได้เชิญชวนให้ผู้เข้าร่วมการประชุมเข้าร่วมงาน Thailand Night ที่โรงแรม Central Sporthotel ในคืนวันนี้ ระหว่างเวลา 19.30- 22.00 น. เพื่อชมงานแสดงทางวัฒนธรรมและรับทราบข้อมูลเกี่ยวกับศักยภาพของเศรษฐกิจไทยด้วย

วันศุกร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2555

จาก "สมศักดิ์ ถึง พี่เสกที่นับถือ" ใครถอย และใครทนพิสูจน์ได้เมื่อภัยมา

เรียน พี่เสก ที่นับถือ

ผมอ่านจดหมายชี้แจงกรณี “นิติราษฎร์-ครก.112” ของพี่เสกด้วยความรู้สึกเศร้าใจมากกว่าอย่างอื่น ความจริง ผมว่า พี่เสก คง “ชรา” แล้วอย่างที่พี่เสกพูดถึงตัวเองในจดหมายจริงๆ จึงตัดสินทำอะไรที่ไม่ควรทำเช่นนี้ ที่ในระยะยาวมีแต่จะเป็นการลดทอนชื่อเสียงเกียรติภูมิและฐานะทางประวัติศาสตร์ของพี่เสกลงไปอีก

ก่อนอื่น ใครที่ได้อ่านจดหมายของพี่เสกฉบับนี้ ก็ยากจะหลีกเลี่ยงอดคิดไม่ได้ว่า ที่พี่เสกเพิ่งมาออกจดหมายฉบับนี้ – สองสัปดาห์หลังจากมีการประกาศชื่อผู้ร่วมลงนามสนับสนุนร่างแก้ไข 112 ของ นิติราษฎร์ (ซึ่งรวมชื่อพี่เสกอยู่ด้วย) ก็เพราะหลายวันที่ผ่านมา มีกระแสโจมตี “นิติราษฎร์” อย่างหนัก ซึ่งนับเป็นเรื่องน่าเสียใจว่า “เสกสรรค์ ประเสริฐกุล” ผู้เคยนำมวลชนลุกขึ้นสู้อย่างกล้าหาญไม่ถอย เมื่อ 40 ปีก่อน (ในท่ามกลางเพื่อนรุ่นเดียวกันหลายคนที่หวั่นไหวกับการขู่ของอำนาจทหารฟัสซิสต์) กลายมาเป็นคน “ใจเสาะ” อ่อนไหวง่ายกับกระแสโจมตี ที่ทั้งหมด มีแต่เสียงคำรามแบบป่าเถื่อน ไม่มีร่องรอยของภูมิปัญญาอยู่เลยนี้ ไปได้เสียแล้ว

ความจริง กระแสโจมตีในขณะนี้ พุ่งเป้าไปที่นิติราษฎร์เท่านั้น เรียกว่าไม่มีการกล่าวถึงคนอื่นๆที่ร่วมลงนามเลย อย่าว่าแต่พี่เสกเลย แม้แต่คนที่ใกล้ชิดหรือมีท่าทีสนับสนุนนิติราษฏร์มากกว่าพี่เสกหลายเท่า เช่น อาจารย์ชาญวิทย์ หรือ อาจารย์นิธิ (ที่พูดในงานเปิดตัวด้วย) ก็ยังเรียกว่าไปไม่ถึง ก็แล้วทำไมพี่เสกจะต้อง “ร้อนตัว” ออกจดหมายมาชี้แจงแบบนี้เล่า?

ผมเชื่อว่า ทุกคนตระหนักดีว่า ในการรณรงค์ที่ใช้รูปแบบร่วมลงชื่อกันมากๆ เป็นร้อยคนขึ้นไปเช่นนี้ แต่ละคนย่อมอาจจะมีเหตุผลเฉพาะของตัวเอง และไม่จำเป็นต้องคิดเหมือนกับคนที่เป็นผู้ริเริ่มทั้งหมด แต่อย่างน้อย ในฐานะที่แต่ละคนเป็นผู้ใหญ่มีวุฒิภาวะและวิจารณญาณกันแล้ว (อย่าว่า “ชรา” แล้ว อย่างพี่เสก) การลงชื่อ หรือยอมให้ชื่อของตัวเองรวมเข้าไปด้วย ย่อมมาจากการต้องเห็นด้วยกับข้อเสนอเช่นนั้น ไม่ว่าจะมีเหตุผลหรือมุมมองเฉพาะของตัวเองอย่างไร ดังนั้น จะว่าไปแล้ว ก็ไม่เห็นจะมีความจำเป็นที่แต่ละคนจะต้องออกมาชี้แจงเลย ยิ่งในเมื่อกระแสโจมตีในกรณีนี้ หาได้พุ่งเป้าไปที่ใครโดยเฉพาะ (นอกจากนิติราษฎร์) ที่แน่ๆ ผมก็ไม่เห็นกระแสโจมตีนี้ ไปแตะถึงตัวพี่เสกเลย

แต่ตอนนี้ พี่เสกกลับรู้สึกว่าจำเป็นต้อง “ชี้แจงจุดยืนของตัวเองให้กระจ่าง” โดยอ้างว่า ที่ลงชื่อไปนั้น “เนื่องจากถูกขอร้องโดยผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือ และผมเองก็ได้พิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นข้อเสนอที่อยู่ในกรอบของการปฏิรูปกฎหมาย มีเนื้อหากลางๆ ออกไปในแนวมนุษยธรรม และที่สำคัญคือยังคงไว้ซึ่งจุดหมายในการพิทักษ์รักษาสถาบันสำคัญของชาติ”

ก่อนอื่น ผมขอตั้งข้อสังเกตว่า หลังๆ ดูๆ พี่เสกจะชอบ “ออกตัว” เวลาทำอะไรที่มีลักษณะเป็นประเด็นถกเถียง (controversial) ในลักษณะนี้คือ “ถูกผู้ใหญ่ขอร้อง” คราวที่พี่เสกไปรับตำแหน่งในคณะกรรมการปฏิรูป ก็บอกว่า“หนึ่ง-ผมเกรงใจท่านอดีตนายกฯ อานันท์ ปันยารชุน ที่อุตส่าห์เชิญผมไปร่วมงาน” (ใน คำสัมภาษณ์นิตยสาร “ค คน”) พี่เสกก็แก่มากแล้ว ทำไมจะต้องคอย “ออกตัว” (แก้ตัว) ในลักษณะนี้ให้เด็กๆ อายุคราวหลานหลายคนที่เขาร่วมลงชื่อครั้งนี้รู้สึกสมเพชด้วยเล่า? พวกเขาเด็กปานนั้น ยังไม่เห็นมีใครเคยบอกว่าที่ทำไปเพราะคนเป็นผู้ใหญ่กว่าขอให้ทำเลย

แต่ที่สำคัญกว่านั้น คือการออกมาชี้แจงด้วยเหตุผลที่เห็นได้ชัดว่า ต้องการให้ตัวเอง “ดูดี” ว่า ไม่ได้เป็นพวก “ล้มเจ้า” แบบที่กระแสโจมตีอันป่าเถื่อนกำลังกล่าวหา “นิติราษฎร์” ในขณะนี้ ไม่เช่นนั้น ทำไมจะต้องอุตส่าห์ใส่ข้อความว่าที่สำคัญคือยังคงไว้ซึ่งจุดหมายในการพิทักษ์รักษาสถาบันสำคัญของชาติ” ด้วย มิหนำซ้ำ ในข้อความที่ตามมา ยังอุตส่าห์เขียนในลักษณะ “เป็นนัยๆ” ในลักษณะที่ฝรั่งเรียกว่า innuendo (พูดเป็นนัยๆ ให้เสียหาย) ว่า “ผมต้องขอยืนยันว่าผมไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับนักวิชาการกลุ่มนี้ และยิ่งไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับข้อเสนอในประเด็นอื่นๆ ที่กลุ่มดังกล่าวได้ประกาศออกมาอย่างต่อเนื่อง

คือถ้าพูดกันด้วยภาษาชาวบ้านๆ ใครที่อ่านหนังสือไทยได้ ก็เข้าใจว่า พี่เสกกำลังบอกเป็นนัยว่า “ผมจงรักภักดีนะ ผมไม่เกี่ยวข้องกับพวกนั้น (นิติราษฎร์) เลย ที่พวกนั้นออกมาในแนวไม่จงรักภักดี (คือไม่มี “จุดหมายในการพิทักษ์รักษาสถาบันสำคัญของชาติ” เหมือนผม) ผมไม่รู้ไม่เห็นด้วยนะ” – คือถ้าไม่ให้ตีความเช่นนี้ ก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายการที่พี่เสกต้อง “ร้อนตัว” มาบอกว่า ไม่เกี่ยวข้องกับนิติราษฎร์ได้ยังไง ในเมื่อ (ก) ในประเทศไทย ไม่เห็นมีใครเคยบอกว่าพี่เสกเกี่ยวข้องกับนิติราษฎร์ และ (ข) ถ้า “ข้อเสนอในประเด็นอื่น” ที่นิติราษฎร์ “ประกาศออกมาอย่างต่อเนื่อง” เป็นเรื่องอื่น ไม่ใช่เกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ (ที่พวกเขาเสนอให้ปฏิรูปตามอารยประเทศประชาธิปไตย) พี่เสกจะต้องออกมา “ชี้แจง” เช่นนี้ และต้องพาดพิงถึง “ประเด็นอื่นๆ ที่กลุ่มดังกล่าวได้ประกาศออกมาอย่างต่อเนื่อง”ด้วยหรือ?

ผมเสียใจที่พี่เสกยิ่งแก่ยิ่งกล้าหาญน้อยลงๆ ถ้าพี่เสกเห็นว่า สิ่งที่นิติราษฎร์ “ประกาศออกมาอย่างต่อเนื่อง” เป็นอะไรที่ไม่ดีต่อสถาบันกษัตริย์ (ที่พี่เสกปวารณาจะ “พิทักษ์รักษา”) ก็ควรกล้าที่จะอธิบายออกมาตรงๆ ไม่ใช่ใช้วิธี innuendo แบบนี้

น่าเสียใจด้วยว่า ในคำสัมภาษณ์ “ค คน” พี่เสกได้พูดถึง “สมบูรณาญาสิทธิราชย์” โดยเสนอว่า ลักษณะ “โครงสร้างแบบอำนาจนิยม” ของ “ชนชั้นนำ” ในปัจจุบัน “เป็นโครงสร้างอำนาจเดียวกับสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์” จริงอยู่ พี่เสกกำลังโจมตีนักการเมือง ซึ่งเป็น “ผู้ใช้อำนาจการปกครอง [ในปัจจุบัน] ไม่ใช่พระมหากษัตริย์เหมือนแต่ก่อน” (พี่เสกพูดต่อด้วยคำที่เบาลงมาด้วยว่า “หรือบางทีก็เป็นผู้นำกองทัพ”) แต่ในเมื่อพี่เสกกล่าวว่า “โครงสร้าง” การใช้อำนาจปัจจุบันซึ่งพี่เสกวิพากษ์นั้น “แทบจะเหมือนเดิมทุกประการ” กับสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ก็ย่อมหมายความว่า พี่เสก ไม่เห็นด้วยกับสมบูรณาญาสิทธิราชย์เช่นกัน แต่ไฉน พี่เสกจึงมายอมค้อมหัวให้กับกระแสโจมตีนิติราษฎร์ในขณะนี้ ที่มาจากอุดมการณ์และวิธีคิดแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์อย่างชัดเจนด้วยเล่า?

วินาทีแรกที่ผมอ่านจดหมายของพี่เสกจบ ผมนึกถึงกาพย์ของจิตร ภูมิศักดิ์ ท่อนนี้ ขึ้นมาทันที

หนทางพิสูจน์ม้า และเวลาพิสูจน์คน
ใครถอยและใครทน พิสูจน์ได้เมื่อภัยมา

ด้วยความเศร้าใจจริงๆ
สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล

ที่มา เว็บไซต์ประชาไท

http://prachatai.com/journal/2012/01/38965