สวัสดีทุกท่านครับ ขอวิจารณ์เรื่องการยังไม่รับรองคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
กรณีที่มีการไปแจ้งความเกี่ยวกับการให้การเท็จในศาลก็ดี การร้องขอให้ยุบพรรคเพื่อไทยก็ดีเป็นเรื่องที่ต้องดำเนินคดีกันไป
แต่ไม่อาจเป็นเหตุให้กกต. ไม่รับรองคุณยิ่งลักษณ์ได้เลย
ตามที่เป็นข่าวจึงเหลืออีกประเด็นเดียวคือเรื่อง “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ”และการที่นักการเมืองที่อยู่ระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิ์ช่วยคุณยิ่งลักษณ์หาเสียง
เรื่องนี้ประเด็นสำคัญที่สุดอยู่ที่ว่า ตามกฎหมายผู้สมัครและพรรคการเมืองสามารถใช้ผู้ที่อยู่ระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิ์ทำอะไรได้ ทำอะไรไม่ได้
หรือพูดอีกอย่างหนึ่งคือผู้ที่อยู่ระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้ง ถูกกฎหมายห้ามไม่ให้ทำอะไรบ้าง
ผู้ที่อยู่ระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้งที่เป็นผลสืบเนื่องจากการยุบพรรคการเมืองนั้นถูกห้ามอยู่ใน 2 ส่วนด้วยกันคือ
1.ห้ามไปก่อตั้งพรรคการเมือง ห้ามเป็นกรรมการบริหารพรรคการเมืองใดๆ และ2.ห้ามออกเสียงเลือกตั้ง ซึ่งมีผลให้ไม่สามารถลงสมัครรับเลือกตั้ง และไม่สามารถดำรงตำแหน่งทางการเมืองบางตำแหน่งที่กำหนดคุณสมบัติของผู้ดำรงตำแหน่งนั้นๆไว้ว่าจะต้องไม่อยู่ระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้ง
จากการที่ไม่มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง จึงทำให้ผู้ที่ถูกเพิกถอนสิทธิ์ไม่สามารถเป็นสมาชิกพรรคการเมืองด้วย
โดยสรุปผู้ที่ถูกเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้งอันเป็นผลมาจากการที่พรรคการเมืองที่ตนเป็นกรรมการบริหารพรรคถูกยุบไป จะถูกห้ามกระทำในสิ่งต่างๆต่อไปนี้
ห้ามเป็นสมาชิกพรรค ห้ามเป็นกรรมการบริหารพรรค ห้ามร่วมกับผู้ใดก่อตั้งพรรคการเมือง ห้ามไปออกเสียงเลือกตั้ง ห้ามลงสมัครรับเลือกตั้งและห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่กฎหมายกำหนดคุณสมบัติไว้ว่า จะต้องไม่อยู่ระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้ง เช่น รัฐมนตรีเป็นต้น
ดังนั้น จึงเห็นได้ว่าผู้ที่อยู่ระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้งทั้ง 111 และ 109 คนนั้นไม่ได้ถูกกฎหมายห้ามไม่ให้แสดงความคิดเห็นในเรื่องใดๆ
ทั้งนี้ รวมทั้งไม่มีกฎหมายใดห้ามบุคคลเหล่านี้หาเสียงให้แก่ผู้สมัครหรือพรรคการเมืองแต่อย่างใดทั้งสิ้น
ผู้ที่อยู่ระหว่างการถูกเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้งจึงยังคงมีสิทธิ เสรีภาพตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายไทยที่จะแสดงความคิดเห็นเหมือนคนไทยทั่วไปทุกประการ
ที่ผ่านมา ในระหว่างการหาเสียง ผู้ที่อยู่ระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้งก็แสดงความเห็นอยู่บ่อยๆเกี่ยวกับผู้สมัคร ทั้งสนับสนุนและไม่สนับสนุน
ซึ่งก็เท่ากับเป็นการช่วยหาเสียงนั่นเอง และก็ไม่มีใครว่าอะไร
ที่ถูกเพ่งเล็งและเป็นประเด็นถกเถียงกันเรื่อยมาก็คือการไปช่วยปราศรัยหาเสียง ซึ่งยังไม่มีข้อยุติในเรื่องนี้
ในการเลือกตั้งครั้งก่อน พรรคพลังประชาชนเคยถามกกต.ว่า ผู้ถูกเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้งทำอะไรได้แค่ไหน แต่กกต.ก็ตอบมาอย่างกำกวม
กกต.บอกว่า ผู้ที่อยู่ระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้งถูกห้ามเป็นกรรมการบริหารพรรค จึงไม่พึงทำอะไรที่เป็นหน้าที่ของกรรมการบริหารพรรค
แล้วก็เกิดการตีความเลยเถิดเลอะเทอะไปว่า รวมถึงการห้ามถ่ายรูปคู่กับผู้สมัคร ขึ้นเวทีหาเสียงหรือเดินตามช่วยหาเสียงด้วย
เมื่อกกต.ตีความอย่างกำกวม พรรคการเมืองและนักการเมืองก็กลัวจะได้ใบเหลือง ใบแดงจึงไม่กล้าให้ผู้ถูกเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้งขึ้นเวทีหรือช่วยหาเสียง
นอกจากนั้นผู้ที่อยู่ระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิ์ ก็มักถูกขอร้องไม่ให้ไปหาเสียงให้พรรคการเมืองหรือผู้สมัคร ถึงแม้จะอยู่คนละเวทีกันก็ตาม
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะความกลัว ไม่มีกฎหมายอะไรรองรับแม้แต่น้อย
ถ้าจะพูดให้เฉพาะเจาะจงลงไป ก็คงต้องมาดูว่าการช่วยหาเสียงเป็นการกระทำตามหน้าที่ของกรรมการบริหารพรรคหรือไม่
กกต.ใช้ตรรกะว่ากรรมการบริหารพรรคมีหน้าที่ช่วยลูกพรรคหาเสียง เพราะฉะนั้นใครที่ช่วยผู้สมัครหาเสียงย่อมกำลังทำเสมือนเป็นกรรมการบริหารพรรคอยู่
เมื่อผู้ถูกเพิกถอนสิทธิ์ถูกห้ามเป็นกรรมการบริหารแล้วมาทำอะไรเสมือนเป็นกรรมการบริหารจึงผิดกฎหมาย
แต่ตรรกะนี้ใช้ไม่ได้ เพราะทำให้เกิดการห้ามในสิ่งที่กฎหมายไม่ได้ห้าม และอาจนำไปสู่การลงโทษคนทั้งๆที่เขาไม่ได้ทำผิดกฎหมาย
ยกตัวอย่างเปรียบเทียบให้เห็นได้ง่ายๆ เช่น หมอที่อยู่ระหว่างถูกเพิกถอนใบประกอบโรคศิลป์ย่อมถูกห้ามสั่งจ่ายยาที่เป็นอำนาจของหมอ ห้ามผ่าตัดคนไข้
แต่หมอที่ถูกถอนใบประกอบโรคศิลป์ไม่ได้ถูกห้ามไม่ให้คุยกับคนไข้ หรือห้ามทายาแดงให้คนไข้หรือเช็ดตัวให้คนไข้เพราะใครๆก็มีสิทธิ์ทำได้
จะบอกว่าเวลาหมอตรวจคนไข้ต้องคุยกับคนไข้ เพราะฉะนั้นใครคุยกับคนไข้ย่อมทำเสมือนเป็นหมอไม่ได้
พลเมืองไทยจะถูกห้ามทำอะไรก็ด้วยกฎหมายเท่านั้น การที่กกต.ห้ามผู้ถูกเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้งช่วยผู้สมัครหาเสียงจึงเป็นการกระทำเกินกว่ากฎหมาย
ว่ากันตามกฎหมาย กรณี“ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” - “กรณี111- 109” ช่วยผู้สมัครหาเสียง ไม่เป็นเหตุให้กกต.สามารถให้ใบเหลืองหรือใบแดงแก่ผู้สมัครรายใดได้เลย
การไม่รับรองคุณยิ่งลักษณ์จึงเป็นเรื่องที่ไม่มีเหตุผลรองรับ
แต่ที่แย่คือ จะบอกว่ากกต.ไม่มีอำนาจก็ไม่ได้ เพราะกกต.อาจให้ใบเหลือง ใบแดงใครก็ได้
กกต.สามารถให้ใบเหลือง ใบแดงใครก็ได้โดยไม่ต้องมีพยานหลักฐานว่าได้ทำอะไรผิดหรืออาจตัดสินตรงข้ามกับพยานหลักฐานก็ได้ และเมื่อตัดสินแล้วก็สิ้นสุด
และนี่คือ ปัญหาความไม่เป็นประชาธิปไตยและไม่ยึดหลักนิติธรรมของประเทศนี้ที่ให้อำนาจคนเพียง 5 คนมีอำนาจเปลี่ยนการตัดสินของประชาชนทั้งประเทศได้
กรณีคุณยิ่งลักษณ์นี้จึงขึ้นอยู่กับว่ากกต.จะประเมินความเสียหายทางการเมืองที่จะเกิดจากการไม่รับรองหรือการตัดสิทธิ์คุณยิ่งลักษณ์อย่างไร
เมื่อเป็นอย่างนี้ ความไม่น่าเชื่อถือจึงเกิดขึ้น ความไม่แน่ใจในรัฐบาลใหม่ในสายตาของชาวโลกจึงเกิดขึ้นและกำลังเป็นผลเสียต่อประเทศอย่างยิ่ง
ถ้าการแขวนคุณยิ่งลักษณ์จะมีประโยชน์อยู่บ้างก็คือ เป็นการที่กกต.ได้ส่งสัญญาณให้เห็นแล้วว่าการที่ประชาชนจะกำหนดว่าใครควรเป็นรัฐบาลไม่ง่ายเลย
ผู้รักประชาธิปไตยทั้งหลายกำลังได้รับการเตือนแล้วว่าการจะได้มาซึ่งประชาธิปไตยก็ดี รัฐบาลที่ประชาชนเลือกมาก็ดี ไม่ราบรื่นและยังจะมีอุปสรรคได้อีกมาก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น