วันพฤหัสบดีที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2554

นางสงกรานต์ปี54 ชื่อ กิริณีเทวี นั่งช้างจับตะขอถือปืน




นางสงกรานต์ปี54 ชื่อ กิริณีเทวี นั่งช้างจับตะขอถือปืน

กระทรวงวัฒนธรรม เผยปฏิทินหลวงนางสงกรานต์ปี 54 ชื่อ กิริณีเทวี นั่งหลังช้าง หัตถ์ขวาจับตะขอ หัตถ์ซ้ายถือปืน พยากรณ์ปีนี้ดุ เกิดเหตุเภทภัยทั่วประเทศ ประชาชนเจ็บไข้ วัวควายล้มตาย ทหารมีชัย อาหารบริบูรณ์ นาคให้น้ำ 5 ตัวฝนตกโลกมนุษย์ 60 ห่าตลอดปี

ปฏิทินหลวงวันสงกรานต์ ปีพุทธศักราช 2554 สงกรานต์ปีใหม่ไทย นี้ตรงกับปีเถาะ นางสงกรานต์ มีนามว่า กิริณีเทวี ทรงพาหุรัดทัดดอกมณฑา อาภรณ์แก้วมรกต ภักษาหารถั่ว งา พระหัตถ์ขวาทรงขอ พระหัตถ์ซ้ายทรงปืน เสด็จนั่งมาเหนือหลังกุญชร (ช้าง) เป็นพาหนะ

วันที่ 14 เมษายน เป็นวันมหาสงกรานต์ ตรงกับวันพฤหัสบดี ขึ้น 11 ค่ำ เดือน 5 เวลา 13 นาฬิกา 25 นาที 25 วินาที
วันที่ 16 เมษายน เวลา 17 นาฬิกา 31 นาที 12 วินาที เปลี่ยนจุลศักราชใหม่ เป็น 1373 วันศุกร์เป็นธงชัยและอธิบดี วันพฤหัสบดี เป็นอุบาทว์ วันอาทิตย์เป็นโลกาวินาศ น้ำฝนปีนี้ วันพุธ เป็นอธิบดีฝน บันดาลให้ฝนตก 600 ห่า ตกในโลกมนุษย์ 60 ห่า ตกในมหาสมุทร 120 ห่า ตกในป่าหิมพานต์ 180 ห่า ตกในเขาจักรวาล 240 ห่า นาคให้น้ำ 5 ตัว เกณฑ์ธัญญาหาร ได้เศษ 6 ชื่อ ลาภะ ข้าวกล้าในภูมินาจะได้ผล 9 ส่วน เสีย 1 ส่วน ธัญญาหาร ผลาหาร มัจฉมังษาหาร จะบริบูรณ์ เกณฑ์ธาราธิคุณ ตกราศีปถวี (ดิน) น้ำงามพอดี

จากคำประกาศสงกรานต์ดังกล่าวจะตรงกับคำทำนายและความเชือคนโบราณซึ่งจากหนังสือตรุษสงกรานต์ของนายสมบัติ พลายน้อย ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ พ.ศ. 2553 ได้กล่าวถึงความเชื่อเกี่ยวเนื่องนางสงกรานต์เสด็จนั่งมาบนหลังช้าง วันมหาสงกรานต์ตรงกับวันพฤหัสบดี วันเนาตรงกับวันศุกร์ และวันเถลิงศกตรงกับวันเสาร์ รวมคำทำนายว่าจะเกิดความเจ็บไข้ ผู้คนล้มตาย และเกิดเหตุเภทภัยต่างๆ นอกจากนี้ผู้น้อยจะแพ้ผู้เป็นใหญ่และเจ้านาย แร้งกาจะเป็นโรคสัตว์ป่าจะเป็นอันตราย แต่แม่หม้ายจะมีลาภ และบรรดาทหารทั้งปวงจะมีชัยชนะแก่ข้าศึกศัตรู ส่วนคำทำนายของล้านนาบอกว่า ปีนี้ฝนจะตกเสมอต้นเสมอปลายชอบตามฤดูกาล ผู้เป็นเจ้าเป็นใหญ่จักมีอันตราย ช้างม้าวัวควายจักตายมากนัก ไพร่ราษฎรจักอยู่ดีมีสุข ขุนใหญ่ ปุโรหิต พระสงฆ์จักเป็นทุกข์ คนเกิดวันศุกร์มีเคราะห์ คนเกิดวันอาทิตย์มีโชค

จากคำทำนายค่อนข้างออกไปร้ายมากกว่าดี แต่นางสงกรานต์กิริณีเทวีนั่งมาบนหลังช้างซึ่งถือเป็นสัตว์ใหญ่ที่เป็นมงคลจะช่วยขับไล่สิ่งร้ายๆ ให้ออกไป และยังทัดดอกมณฑาเป็นดอกไม้ทิพย์อยู่บนสวรรค์ คนไทยโบราณเชื่อว่าจะช่วยพ้นวิกฤติจากหนักเป็นเบา เมื่อรวมกับภักษาหารที่เป็นถั่วงา ทางพืชผลข้าวปลาอาหารยังมีความสมบูรณ์อยู่ ส่วนคำทำนายที่ว่าทหารจะมีชัยชนะแก่ข้าศึกศัตรู ก็น่าจะแสดงถึงความสงบสุขของบ้านเมืองในปีนี้ด้วย อย่างไรก็ตามคำทำนายดังกล่าวมาจากตำราตรุษสงกรานต์

In Love and War คลิป "สมชาย & กมลรัตน์" จูงมือวิวาห์



คนสุราษฏร์ฯไล่ส่ง "เทพเทือก" "มาทำไม???"


เวลา 17.30 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่าระหว่างที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ลงเรือท้องแบนตรวจน้ำท่วมบริเวณตลาดสดเทศบาลท่าข้าม ที่อยู่ริมแม่น้ำตาปี อ.พุนพิน จ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งมีประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนประมาณ 2 หมื่นคน เนื่องจากเป็นชุมชนใหญ่ 3 ชุมชน

ปรากฏว่าในระหว่างที่นายสุเทพนั่งเรือขากลับนั้น ได้มีชาวบ้านเป็นชายอายุประมาณ 50-60 ปี ได้ตะโกนต่อว่านายสุเทพด้วยเสียงอันดังว่า “มาทำไม ถ้ามาแล้วไม่เอาข้าวมาแจกแล้วไม่ต้องมา “ ทำให้นายสุเทพ ถึงกลับมีสีหน้าไม่สู้ดี และได้ตะโกนตอบกลับไปว่า “เดี๋ยวพรุ่งนี้จะจัดข้าวกล่องมาแจก“ จากนั้นจึงหันไปหารือกับนายทศพล งานไพโรจน์ นายกเทศมนตรีเมืองท่าข้าม โดยระบุว่าในเบื้องต้นนายสุเทพจะขอรับผิดชอบแจกข่าวกล่อง 3 พันกล่อง จากนั้นจะให้ทางจังหวัดรับผิดชอบในส่วนที่เหลือ ในระหว่างนี้ก็จะได้ให้นายกเทศมนตรีเมืองท่าข้าม ช่วยดูแลรับผิดชอบอีกแรง

ผู้สื่อข่าวไทยรัฐยืนยันกับ คอป. "เรามั่นใจว่าเป็นทหารยิง"


ที่ห้องประชุมสำนักงานคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 29 มีนาคม นายสมชาย หอมลออ ทำหน้าที่เป็นประธานในที่ประชุมโครงการรับฟังข้อมูลข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเหตุการณ์ความไม่สงบจากทุกฝ่าย (Hearing) ในกรณี การเสียชีวิต 6 ศพ วัดปทุมวนารามฯ เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2553ขึ้นมาพิจารณา โดยเชิญญาติผู้เสียหาย ได้แก่ นางพะเยาว์ อัคฮาด มารดาและนายณัทพัช อัคฮาด น้องชายของนางสาวกมนเกด พยาบาลอาสา 1 ใน 6 ที่ถูกยิงเสียชีวิตในวัดปทุมฯ ,แพทย์หญิง คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ นายวสันต์ สายรัศมี อาสากู้ภัย ตัวแทนเจ้าหน้าที่ทหารจากหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ ,พ.ต.ท.ธรณินทร์ คลังทอง กรมสอบสวนคดีพิเศษ ,พ.ต.ต.สุรนาท วงศ์พรหมชัย กลุ่มงานตรวจสถานที่เกิดเหตุ กองพิสูจน์หลักฐานกลาง ,นายอิสรนันท์ อิทธิสารนัย ผู้สื่อข่าวไทยรัฐ ,นายชิตพันธ์ วงษ์ไทย บรรณาธิการข่าวช่อง 5 และบุคคลอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์เข้าร่วมให้ข้อมูล และร่วมสังเกตการณ์


นายอิสรนันท์ อิทธิสารนัย ผู้สื่อข่าวไทยรัฐให้การว่า ในวันที่เกิดเหตุ ตนและนักข่าวช่างภาพสำนักอื่นๆ หลบกระสุนกันอยู่ภายในรั้วสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งตรงนั้นมีตำรวจ ตชด.พร้อมด้วยอาวุธครบมืออยู่ด้วย ในเวลาประมาณ 18.30 น. ซึ่งคาดว่า น่าจะเป็นการยิงเคลียร์พื้นที่อยู่ของเจ้าหน้าที่ทหาร เห็นคนวิ่งกรูเข้าไปในวัดปทุมฯ มีเสียงปืนไล่มาจากแยกเฉลิมเผ่า จากข้างล่างก่อน แล้วก็ดังข้างบนต่อเนื่องกันเกือบ 15 นาที เจ้าหน้าที่ตชด.หลบอยู่ข้างกัน มองออกไปข้างนอก ตนจำคำพูดเขาได้ว่า ถ้ามันยิงเด็ก ผมจะยิงมัน เหตุยิงตอนนั้น เสียงปืนที่ได้ยิน ห่างกันประมาณ 10 เมตรจากรั้ว สตช.กับวัดปทุมฯ แต่กำแพงรั้วบัง น่าจะเป็นการเคลียร์พื้นที่แนวราบ แต่ไม่เข้าใจทำไมมีเสียงปืนจากข้างบนด้วย จากนั้นก็ได้รับโทรศัพท์จากกลุ่มผู้ชุมนุมให้ช่วยประสานความช่วยเหลือเนื่องจากมีผู้เสียชีวิต ที่วัด 6 ศพ บาดเจ็บ 4 ราย ขณะนั้นเราอยู่ห่างจากเขา 10 เมตร แต่เราออกจากรั้วไม่ได้เนื่องจากตำรวจได้ห้ามไว้ ทั้งคืนเราก็พยายามติดต่อตำรวจหลายๆหน่วย แต่ไม่มีใครกล้าออกไปนอกรั้ว ทุกคนเห็นเงาของคนอยู่ข้างบนรถไฟฟ้า เป็นเงาตะคุ่มๆ ตอนนั้นเรามั่นใจว่าเป็นทหารแน่ เพราะมีคนโทรมาฟ้องว่า ทหารเป็นคนยิง เหตุการณ์คืนนั้นผ่านไปโดยที่เราทำอะไรไม่ได้เลย กระทั่ง 6 โมงเช้า วันที่ 20 พ.ค. 53 ก็เดินเข้าไปดูเหตุการณ์เห็นคนเสียชีวิต เราก็ไปหารอยวิถีกระสุน ก็พบรอยวิถีกระสุนจำนวนมากที่พื้นวัด รวมถึงบนหลังคาเต้นท์ และรถยนต์ ที่ดูแล้วน่าจะเฉียงมาจากข้างบน สันนิษฐานผู้อยู่บนรถไฟฟ้ามีการยิงเคลียร์พื้นที่ 2 ฟากฝั่งถนน เนื่องจากมีเต้นท์เป็นรู เราไม่เห็นวิถีกระสุนจากล่างขึ้นบนรางรถไฟฟ้า


ผู้สื่อข่าวไทยรัฐที่อยู่ในเหตุการณ์ กล่าวต่อว่า ตนได้ดูภาพคลิปวิดีโอ หลักฐานชัดเจนว่าใครเป็นคนยิง และมีการเผยแพร่มาเป็นปีแล้ว แต่ทางเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะ ดีเอสไอ ทำไมไม่ไปตรวจสอบให้คดีมันเกิดความคืบหน้าว่าใครเป็นคนทำ มีแต่ไปสอบปากคำฝั่งซ้ายที ฝั่งขวาที แต่คนที่เก็บหลักฐานต่างๆ ผ่านรูปถ่าย ผ่านคลิป ทำไมไม่ไปสอบถามให้ชัดเจน เรากำลังสับสนกันหรือเปล่า ว่าใครยิง ไม่ยิง ทำไมเราไม่ถามคนที่ถ่ายรูปล่ะ และยังไม่รู้ว่า คนเหล่านั้นมีชีวิตอยู่หรือเปล่า ขณะเดียวกัน ฝ่ายค้านก็นำชื่อของทหารที่ประจำการอยู่บนรถไฟฟ้ามาเปิดเผย กองทัพก็ไม่ได้ปฏิเสธ จริงๆ แล้วเขาอาจไม่ได้เป็นคนทำก็ได้ แต่คนที่เห็นน่าจะชี้ชัดได้ว่า คนเหล่านั้นอยู่ร่วมเหตุการณ์ตรงนั้นหรือไม่ก็ได้น่าจะมีการสอบสวนในเชิงลึกมากกว่านี้ แต่ที่ผ่านมาไม่มีอะไรเคลื่อนไหวเลย มีแต่การเตรียมการจะถล่มรัฐบาล แต่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ได้ทำอะไรเลย ตนเข้าใจว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจน่าจะทราบดี แต่ไม่เข้าใจทำไมกระบวนการสอบสวนมันหยุดไป

"ผมเป็นสื่อ ผมมาทำหน้าที่นี้ คิดว่า ถ้าคนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมแล้วผมเห็นแล้วไม่พูดอะไร ก็ไม่รู้จะมาทำหน้าที่ทำไม" นายอิสรนันท์ กล่าว

WHO? ร้อนฉ่า!! ขึ้นปกพ่อ-ลูก "ฮุนเซ็น" แถลงย้ำ "เจตนาให้คนไทยเรียนรู้"


เป็นเรื่องราวใหญ่โตขึ้นมา เมื่อนิตยสารไฮโซอย่าง "WhO?" ฉบับวันที่ 86 วางแผนวันที่ 1 มี.ค. ขึ้นปกพ่อลูกนักรบยิ้มพริ้มภูมิใจ นามว่า "สมเด็จฯฮุน เซน" นายกรัฐมนตรีกัมพูชา และ "พล.ท.ฮุน มาเน็ต" รองผู้บัญชาการทหารบกกัมพูชา ลูกชายหัวแก้วหัวแหวน ที่มาบัญชาการสงครามชายแดนไทย-กัมพูชาด้วยตัวเอง จนเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์กันทั่วเมือง ว่า เหตุใดนิตยสารชื่อดังเล่มนี้ถึงเลือกขายพ่อลูกชาติทหารคู่นี้ ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นอริของไทย ท่ามกลางขัดแย้งริมชายแดนไทย-เขมร ที่ควันแห่งการสู้ริมชายแดนยังไม่จางหายไป


ฉบับนั้น "WhO?" เขียนคำเชิญชวนให้อ่านดังนี้


Who′s in Focus ฉายสถานการณ์ไทย (ไม่อยาก) ทะเลาะเขมรที่ถือว่าเป็นเรื่องขึ้นมาจริงๆ จากการปะทะกันอย่างรุนแรงบริเวณชายแดนไทย-เขมร บนพื้นที่พิพาท 4.6 ตร.กม.ในเขตอำเภอกันทรลักษณ์ จังหวัดศรีสะเกษ ที่มีบรรยากาศตึงเครียดอย่างหนัก


ทั้งหมดทั้งมวลนี้จากการข่าวให้ข้อมูลว่าผู้สั่งการคือ พลโทฮุน มาเน็ต ลูกคนที่ 2 จากบุตรจำนวน 6 คน ของฮุนเซน และนางบุญรานี ที่นำทัพออกมาด้วยตนเอง หลายฝ่ายคาดกันว่าเขาต้องการพิสูจน์ตนเอง และสร้างบารมีในฐานะว่าที่ผู้สืบทอดอำนาจของฮุนเซน ในขณะที่ประชาชนกัมพูชาก็ไม่ได้ให้ความสนใจในตัวฮุน มาเน็ตสักเท่าไหร่ ว่ากันว่า ฮุนเซนพยายามเสริมอำนาจตนเองให้แข็งแกร่งด้วยการกำหนดตัวผู้นำในอนาคต ตามรอยคิมจองอิล ผู้นำเกาหลีเหนือที่เพิ่งโปรโมทลูกชายด้วยการติดยศพลเอก



ล่าสุดเมื่อไม่นานมานี้ "WhO?" ได้ออกแถลงการณ์พิเศษจาก WhO? มีใจความดังนี้


ตามที่ WhO? ฉบับที่ 86 ประจำวันที่ 1 มีนาคม 2554 นำสองพ่อลูก "ฮุน เซน" และ "ฮุน มาเน็ต" ขึ้นปก และทำให้มีเสียงท้วงถามถึงความถูกต้องนั้น WhO? ขออนุญาตกราบเรียนด้วยความเสียใจอย่างสุดซึ้ง ดังนี้


1) เราต่างก็เป็น “คนไทย” ที่รู้สึกร้อนหนาว เจ็บปวดกับการที่พี่น้องร่วมชาติถูกกระทำย่ำยีจากการบัญชาการของพ่อลูกคู่นี้ ความรู้สึกปวดร้าวและสูญเสียคงไม่ต่างกัน เมื่อคิดว่าหนึ่งในพี่น้องไทยผู้บาดเจ็บและสูญเสียอาจเป็นพ่อแม่พี่น้องเพื่อนฝูงเรา เลือดรักชาติย่อมทำให้เราเป็นเดือดเป็นแค้นไม่ต่างกัน


ยิ่งเมื่อเห็นลูกชายของ ฮุน เซน ออกมานำทัพเอง กะจะย่ำยีพี่น้องชายแดนเรา ความรู้สึกเจ็บปวดนี้คงไม่ต่างกับเมื่อเห็น "ลูกใคร" สักคนออกมารังแกคนอื่นจนทำให้เราต้องถามว่า… "ลูกใครหว่า"


เมื่อเราตอบได้ว่า…เป็นลูกใคร เรามักจะพูดว่า ก็พ่อเป็นอย่างนั้นนี่นา ลูกถึงได้เป็นอย่างนี้

นี่คือ "เจตนา" ที่ทำให้เราหยิบยกเรื่องของ ฮุน เซน และลูกขึ้นมา "ศึกษา" ถึงเส้นทางการเติบโตของ "ระบอบ ฮุน เซน" การก้าวกระโดดในลักษณะการเหยียบหัวผู้อื่น และอีกหลายสิ่งอย่างที่ WhO? พยายามนำมาเผยแพร่ถ่ายทอดให้รู้ว่า "ศัตรู" ตัวเอ้ของเราเป็นเช่นไร เช่นเดียวกับประโยคที่ขึ้นพาดหัวว่า "Like father, Like son" พ่อเป็นอย่างไร ลูกเป็นอย่างนั้น


2) การทำข่าวใดๆ ก็ดี เป็นเพียงการรายงานข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น เพื่อหวังให้ผู้อ่านสามารถวิเคราะห์และเก็บเกี่ยวความเป็นจริงได้ ในฐานะของ "คนทำข่าว" เท่านั้น มิได้อยู่ภายใต้อิทธิพลหรือตกเป็นเครื่องมือของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง หรือองค์กรใดองค์กรหนึ่ง


3) หากการทำข่าวของ WhO? ครั้งนี้ ทำให้ผู้อ่านเข้าใจเป็นอย่างอื่น เรากราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยความเสียใจอย่างสุดซึ้ง และขอยืนยันว่า เราเป็นคนไทยทั้งตัวและหัวใจ


บรรณาธิการบริหาร



แต่แถลงการณ์พิเศษชุดนี้ ก็ไม่อาจทดแทนกับความรู้สึกของคนไทย ซึ่งไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของกองบรรณาธิการ เห็นได้จากคอมเม้นต์ ซึ่งมีกว่า 60 ความคิดเห็น ซึ่งส่วนมากเป็นความคิดเห็นเชิงลบ

ไม่ว่าจะเป็น "เอ่อ ทั้งรูป !! ทั้งสำนวนเขียน !! นี่เหรอความรู้สึกเสียใจ !!"


"เอามาโชว์ก่อน แล้วแถลงการณ์แก้ตัวทีหลัง ยังไงก็โชว์ไปแล้ว ตอนนี้ดังแล้ว เรื่องการฟอกตัวของWho นั้นทำไม่ยากครับ แค่แถลงการณ์แก้ข่าว แค่นี้Whoก็กลับมาดูดีเหมือนเดิม มุขเดิมๆนี้ยังใช้ได้เสมอนะครับในวงการสื่อมวลชน"


"ถ้าได้สัมภาษณ์ 2 พ่อลูกนี้ ถามให้ด้วยว่ายิงใส่ชาวบ้าน ยิงใส่โรงเรียนทำไม พวกเขาทำอะไรให้ ถ้าไม่ชอบรัฐบาลก็ยิงใส่ค่ายทหารสิ ทำไมต้องเอาชาวบ้านเป็นตัวประกัน ว่าแต่กล้าหรือเปล่า และคำว่า"ตาสว่าง"ต้องการสื่ออะไร คุณ บก.หนังสือwho"


"ทั้งรูปภาพ ทั้งจั่วหัว ไม่ยกยอปอปั้น ? เนื้อความ มีเพียงผู้อ่านเท่านั้นที่รู้ แต่ภาพหน้าปกซึ่งทุกคนที่ไปแผงหนังสือได้เห็น มันสื่ออะไร ตลกล่ะครับคุณ !!"

"แถลงการณ์พิเศษ มันก็แค่ประดิษฐ์คำเพิ่มอีกชุดเท่านั้น" หรือ "รู้เขารู้เรา ด้วยรูปยิ้มกริ่ม เยี่ยงนี้น่ะเหรอ !!"


อย่างไรก็ตาม มีผู้ที่คิดในเชิงบวกกับแถลงการณ์พิเศษชิ้นนี้และเห็นว่าควรให้ความเป็นธรรมกับนิตยสารเล่มนี้ว่า "ผมคิดว่าความผิดเดียวที่อาจจะมีคือช่างภาพถ่ายรูปดีเกินไปนิดนึงครับ :) แต่เชื่อมั่นว่าเจตนารมณ์และวิจารณญาณของผู้เขียนและ บก.ยังมีครบถ้วนบริบูรณ์ เสียใจที่ผมไม่มีโอกาสอ่านเนื้อหา แต่เมื่อดูจากโปรยหัวข่าวบนหน้าปก like father, like son ก็พอจะทราบสิ่งที่อยู่ในเล่มได้ ขอร้องผู้วิจารณ์ครับว่า กรุณาทำความเข้าใจในสิ่งที่ตนเองจะวิจารณ์และให้ความเห็นให้ถ่องแท้เสียก่อน แล้วจะว่าอะไรก็สุดแท้แต่ใจจะอยากแสดงออก ผมรู้สึกว่าสังคมของเราขาดสิ่งนี้ไปเยอะขึ้น ใช้อารมณ์กันมากขึ้น ความแตกแยกจึงปรากฏในสังคมชัดเจนและมากขึ้นอย่างทุกวันนี้ โปรดอย่าทำให้มากขึ้นอีกเลยครับ สังคมของเราจวนจะรับไม่ไหวแล้ว"


รวมทั้งมี นักเขียนจากกองบรรณาธิการ ออกมาชี้แจงว่า "กรณี WhO? ขึ้นปกฮุนเซ็นและลูกชาย ฮุนมาเน็ต ทำให้มีเสียงหนึ่งท้วงถามว่า...ไม่มีคนไทยดีๆพอที่จะขึ้นปกแล้วหรือ ดิฉันในฐานะบรรณาธิการบริหารอยากเรียนชี้แจงว่า แน่นอนคนไทยดีๆมีมากมาย ซึ่งหากติดตามอ่านกันจริง มิได้ดูเฉพาะหน้าปก ก็จะเห็นว่ามีคนทุกระดับชั้นอยู่ใน WhO? เพราะ WhO? เป็นหนังสือข่าวบุคคล ฉะนั้นผู้ที่เป็นข่าวและเรา "น่าจะ"ทำความรู้จักไม่ว่าคนชาติไหน เราก็จะ "ศึกษา" ดิฉันเชื่อว่าการรู้จักทั้งมิตรและศัตรู เผื่อจะทำให้เรา "ตาสว่าง"ขึ้นบ้าง ไม่หันมาเป็นศัตรูกันเองเยี่ยงทุกวันนี้"


ขอบคุณมติชนออนไลน์

สัมภาษณ์พิเศษ "ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์"


เมื่อพรรคประชาสันติ กำลังจะมีคนสวม "หัว" เป็นนักการเมืองเจ้าของฉายา "ไม้บรรทัด"

การกลับมาของ "คนดี-ไม่มีเสื่อม" ทำให้กระดานการเมืองสั่นไหวราวอาฟเตอร์ช็อก หลังคลื่นมัจจุราชสึนามิ

"ประชาชาติธุรกิจ" สนทนากับ "ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์" บนตึกสูงที่สั่นสะเทือนเพราะแผ่นดินไหวในพม่า

หลังม่านของ "ร.ต.อ.ปุระชัย" มีทั้งทหารเกษียณ ตำรวจเก่า และ "เสี่ยพันธ์เลิศ ใบหยก" อดีตรองเลขาธิการไทยรักไทย ผู้ครอบครองทรัพย์สินหลักหมื่นล้าน กับธุรกิจในเครือ 21 บริษัท

นี่คือบทสนทนาหน้าม่านกับ "สื่อ" ครั้งแรก ก่อนเปิดม่านพรรคประชาสันติ อย่างเป็นทางการ

- ทำไมคิดกลับเข้าเส้นทางการเมืองเป็นหัวหน้าพรรคประชาสันติ

เราอยู่ในแผ่นดินนี้ ตอนนี้เรารู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ผมเป็นห่วงประเทศ

ผมคิดว่าถ้าเป็นไปได้ประเทศน่าจะ มีทางเลือก ตอนนี้คนไม่รู้จะเลือกใครมีแต่บอกว่าจะไปเลือกตั้ง แต่จะไม่ลงคะแนนให้ใคร เขาลองเลือกมาหมดแล้ว ทั้งฝ่ายรัฐบาล-ค้าน แต่ทางเลือกมันตัน

ถ้าเขาไม่เลือกก็จบเร็ว แต่ถ้าประชาชนเลือกเรา เรื่องก็ยาว (หัวเราะ)

- ยุคตั้งพรรคไทยรักไทยกับยุคตั้ง พรรคนี้ ต่างกันอย่างไร

ยุคผมเข้าสู่ไทยรักไทยด้วยอุบัติเหตุ ผมไปชวนท่านทักษิณสร้างมหาวิทยาลัย ยุคจะมีพรรคใหม่ เราก็พร้อมเท่าที่พร้อม เมื่อคุณเสรี สุวรรณภานนท์ เขาบอกว่า อยากให้ผมเป็น ผมก็พร้อมจะช่วยหลังฉาก ซึ่งผมชอบมาก ไม่ต้องแจงบัญชีทรัพย์สิน มีเยอะ มีน้อย ก็ต้องแจ้ง มันเป็นภาระ

- ถ้ามีเลือกตั้งชื่อปุระชัยลงสมัครเป็น ส.ส. สัดสˆวนและหัวหน้าพรรค

ต้องผ่านการประชุมใหญ่ในวันที่ 2 เมษายน แล้วโหวตหัวหน‰าใหม่ ถ้าลง รับสมัครเลือกตั้งส.ส.ระบบสัดส่วน การเป็นพรรคการเมืองมันต้องเติบโต ยั่งยืน มีความเป็นสถาบัน ผมเคยฝันให้พรรคไทยรักไทยเป็นสถาบันการเมือง แต่ก็เกิดอุบัติเหตุ ไทยรักไทยถูกยุบ ผมทุ่มเทเวลาไป 8 ปี

- พรรคนี้คือเนวิน-คอนเน็กชั่นหรือไม่

ความจริงก็เป็นความจริง (เสียงเครียด) ขอบอกว่า ผมกับเนวินไม่เคยเจอกันเลย ตั้งแต่รัฐประหาร ผมกับท่านทักษิณก็ไม่เคยเจอกันเลย

การเมืองอาจมีอดีต ช่วยกันไปช่วยกันมา สังคมไทยเล็กนิดเดียว เนวินกับผมอยู่ในครม.ด้วยกันในพรรคไทยรักไทย แต่วันนี้ถามว่าเกี่ยวมั้ย เราก็ไม่เกี่ยว คุณเห็นด้วยได้...แต่ยังไม่ ต้องเชื่อ

- คอนเน็กชั่นสาย พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ เป็นมาอย่างไร

ผมกับท่านพัชรวาทโยงกันมานาน ตั้งแต่สมัยคุณพ่อท่าน พอรุ่นผมเข้าเรียนเซนต์คาเบรียลอยู่ด้วยกัน 10 ปี

เข้าเรียนเตรียมทหารรุ่นเดียวกัน เป็นนายร้อยรุ่นเดียวกัน ผมออกไป เป็นผู้หมวด ตชด.ที่อรัญประเทศ เมื่อผม ย้ายออก ท่านพัชรวาทก็ไปเป็นแทนผม

ถ้าถามว่า ฮั้วกันมั้ย...ชีวิตมันเจอกันตลอด หลายเรื่องผมรู้จักท่านดี ผมเรียกคุณแม่ท่านพัชรวาทว่าคุณแม่ เห็นความเป็นเพื่อนกันมายาวนานมาก

- คุยกับท่านพัชรวาทอย่างไร ถึงมาตั้งพรรคการเมือง

เขาเป็นคนไม่ค่อยพูด แต่การไม่พูด ก็ดี...รักษาความลับได้ดี ท่านเห็นด้วยกับการตั้งพรรค เขามาช่วย ไม่จำเป็นต้องเกี่ยว จะกลายเป็นเป้า เป้าบวก หรือเป้าลบไม่เกี่ยว ปัญหาเบาไปเยอะ ประสบการณ์ในไทยรักไทยสอนเราเยอะ

- เป็นหัวหน้าพรรคที่เป็นแคนดิเดต นายกรัฐมนตรี

เป็นคู่แข่งว่าที่นายกรัฐมนตรีอีกไกลมาก เหมือนเด็กเพิ่งเริ่มเรียนหนังสือ คนก็มาพูดกันว่าจบปริญญาเอกแล้ว เรายังเตรียมการอยู่ ต้องหาผู้สมัคร ส.ส. สัดส่วน 125 เขต 375 คน

- หลายโพล ชื่อ "ปุระชัย" ก็นำ

เราก็หวัง เราก็พร้อมเท่าที่พร้อม ถ้าบอกไม่พร้อมก็จะถูกถามอีกว่า ถ้าไม่พร้อมแล้วมาตั้งพรรคทำไม เลือกตั้ง ครั้งนี้เราไม่ได้หวัง อยากลงเป็นเวที ซ้อมมือ ก็ยังดีผมหวังว่าจะไม่ใช่พรรคเฉพาะกิจ

- โลโก้พรรคคือ "ปุระชัย" จุดขายของพรรคคืออะไร

คือความสดใหม่ เป็นทางเลือก ผมมาอยู่เบื้องหลัง ก็ไม่ใช่อีแอบ จะช่วยเขียนนโยบาย จะเอาชื่อไปใส่เป?นหัวหน‰าผมก็ยินดี

- มีนักการเมืองจากพรรคฝ่ายค้าน-รัฐบาล ติดต่อมาร่วมพรรคบ้างหรือไม่

ก็มีอยู่เรื่อย ๆ แต่เรามีเงื่อนไขคือ ไม่ซื้อเสียง ถ้าเป็นไปได้ต้องช่วยตัวเอง (หัวเราะ) เราไม่มีเงินถุงเงินถังไปดูแล ไปแจก ส.ส.ของเรา ถ้ามีซื้อเสียงต้อง ขับออก (หันหน้าไปทางนายพันธ์เลิศ ใบหยก) ท่านพันธ์เลิศก็ต้องแยกเรื่องส่วนตัว เรื่องส่วนรวม

- คุณพันธ์เลิศเกี่ยวข้องอย่างไรในพรรค

ท่านเป็นผู้ร่วมก่อตั้งคนหนึ่ง

- ระหว่างชื่อ "พันธ์เลิศ" กับชื่อ "ปุระชัย" ใครเป็น diveo ตัวดึงดูด ส.ส.

(ทั้งพันธ์เลิศและปุระชัยหัวเราะเสียงดังพร้อมกัน) การเลือกตั้งครั้งนี้เป็น แบบฝึกหัดของเรา เลือกหลายครั้งก็ เก่งขึ้น ผมบอกผู้ก่อตั้งว่า ถ้าครั้งนี้ ไม่ ทันก็ไม่แปลก แต่ทำงานนี้เราต้องคุม เกม เราไม่ใช่สินค้าสด ไม่ขายวันนี้ก็ไม่เน่า

- ในเวทีการเมือง "ความดีไม่มีเสื่อม" จะดำรงอยู่ได้หรือ

ตัวเราคือตัวเรา บางเรื่องเราก็ต้องทำใจ บางเรื่องถูกต้อง ตรง บางเรื่องก็ไม่ถูก ไม่ตรง

- ที่ผ่านมาพรรคทางเลือก-พรรคที่สาม หรือโซ่ข้อกลาง ก็ไม่เคยสำเร็จทางการเมือง

ผมก็ไม่แน่ใจว่าจะสำเร็จ ไม่มีใคร การันตีได้ ส่วนหนึ่งที่เราพิจารณาคือ เราต้องแยกระหว่างเรื่องแต่งกับเรื่องจริง ตั้งพรรคเราไม่เพ้อฝัน ต้องหาข้อมูล ทำโพล

ขอให้ทุกพรรคสบายใจได้ เราจะไม่แย่งใคร คนที่จะเลือกเราคือคนที่ถอดใจจากการเมืองหลายแสนเสียง เขาขอร้องว่าอย่าให้เราถอดใจ ยังมีโอกาส มีพรรค ให้เลือกอีก 1 พรรค

- นโยบายอะไรที่จะได้ทำให้คนกลางที่ยังไม่ตัดสินใจเลือกใครออกมาเลือกพรรคประชาสันติ

ข้อแรก เรามีโอกาส มีความหวัง ข้อสอง ให้ดูว่าผู้ร่วมก่อตั้งพรรคเป็นใคร อดีตคนคนนี้เกิด-ทำงานประเภทไหน ผมมั่นใจในตัวผม เราเป็นครอบครัวที่ซื่อสัตย์ ไม่เคยโกง เราเสริมส่วนรวม มากกว่าเอาของส่วนรวมมา

- จะขายอะไรนอกจากเรื่องดี-เก่ง

การบริหารประเทศ สิ่งสำคัญคือคนกุมบังเหียน คนต้องมาก่อนระบบ คนดีระบบดีนั้นดีแน่ คนดีระบบแย่ต้อง แก้ไข คนแย่ระบบดีไม่ช้าก็ไป คนแย่ระบบแย่ก็บรรลัยแน่นอน ฉะนั้นคนบริหารต้องดี

- ที่ผ่านมาระบบรัฐธรรมนูญ 2540 ก็ดี

แต่ปัญหาบ้านเราคือคนแย่ไปบริหาร อย่างพรรคไทยรักไทยก็เริ่มที่คนดี ระบบดี แต่อยู่ไป ๆ คนดีเริ่มหาย สุดท้ายก็ไปสู่ความล่มสลาย

- พรรคใหญ่ 2 พรรค ที่จะเป็นแกนนำตั้งรัฐบาล คิดว่าจะร่วมกับฝ่ายไหน

งานการเมือง ผมดีใจถ้ามีทีมอื่นมาร่วมทีม เหมือนฟุตบอลมีคนมาเตะกับเรา จบแล้วก็เป็นเพื่อนกัน เป็นคู่แข่ง ไม่ได้เป็นศัตรู

- ถ้าได้ร่วมรัฐบาล ท่านต้องมีตำแหน่งในคณะรัฐมนตรี

เราเลือกตั้งครั้งแรกได้ไม่กี่เสียงก็ไม่เป็นไร เป็นฝ่ายค้านก็ดี มีแผลน้อย ได้ตรวจสอบรัฐบาล เรียนรู้งาน เป็นรัฐบาลก็ต้องใจแข็ง ไม่หลงทิศทาง ไม่ยอมต่อสิ่งยั่วยวนที่ไม่ถูกต้อง

- กับพรรคเพื่อไทย รวมงานกันได้

เพื่อไทยก็คือเพื่อไทย เป็นเรื่องเฉพาะ เหมือนผมเป็น ครม.ชุดที่ 54 แต่ ครม. ชุดที่ 55 โดนปฏิวัติ ผมก็เดือดร้อนด้วย

- หากนักการเมืองบ้านเลขที่ 111 ออกมา จะกระเทือนมั้ย

ผมไม่ได้คิดประเด็นนี้ พวก 111 รู้จักเกือบหมด มีบางคนเก่ง บางคนกล้า

- อย่างคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ที่มีข่าวอาจจะมาอยู่ร่วมกัน เก่งมั้ย

ผมไม่เกี่ยวกับกลุ่มใด อย่างคุณ พันธ์เลิศเขาอยากเห็นการเมืองดี เขาก็มาช่วย พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา หรือนายธีรพล นพรัมภา ยืนยันว่าเราไม่เกี่ยวกัน

- มีสัญญาณพิเศษอะไรทำให้พรรคนี้เกิดขึ้นได้

ไม่มีสัญญาณพิเศษอะไร

- กลุ่มอำนาจพิเศษเริ่มไม่ใช้บริการพรรคประชาธิปัตย์ อาจใช้พรรคนี้

ผมและเพื่อนจบเตรียมทหารก็มีครบทั้ง 4 เหล่าแต่ถึงจะเป็นรุ่นพี่-รุ่นน้อง แต่ ใครจะมาสั่งไม่ได้ กองทัพจะมาสั่งไม่ได้

- อุปสรรคของพรรคนี้คืออะไร

เราต้องสู้ ถ้าหยุดเท่ากับชีวิตจบ มาทำงานการเมืองหลายคนมองเป็นความสกปรก แต่นี่มันคือวิธีการสุภาพบุรุษ เราไม่ได้เป็นโจร เราไม่ได้วางแผนไปปล้นเขา นี่คือจังหวะและโอกาสที่ ขาดแคลนผู้นำ ประเทศกำลังไขว่คว้าหา...เหมือน ลี กวน ยู ในสิงคโปร์ เราไม่ได้แข่งกับใครแบบเอาเป็นเอาตาย เป็นคู่แข่งในเกมการเมือง ถ้าเป็นมวย เราเป็นพรรคใหม่ที่ไม่ต่อยใต้เข็มขัดอย่างแน่นอน

ขอขอบคุณ
ประชาชาติ ธุรกิจ

แกนนำเสื้อแดง 12 คน ลงเลือกตั้ง ย้ำโพลลับระบุโกย "270 เสียง"

รายชื่อแกนนำคนเสื้อแดงที่แสดงความจำนงลงสมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อเบื้องต้นมี 12 คน ประกอบด้วย 1.นายจตุพร พรหมพันธุ์ 2.นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ 3.นายก่อแก้ว พิกุลทอง 4.นายวรวุฒิ วิชัยดิษฐ์ 5.นายยศวริศ ชูกล่อม หรือเจ๋ง ดอกจิก 6.พ.ต.ต.เสงี่ยม สำราญรัตน์ 7.นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไทย 8.นายชินวัตร หาบุญพาด 9.นายธนฤกต ชะเอมน้อย หรือวันชนะ เกิดดี นักร้องลูกทุ่ง 10.นางอุดมรัตน์ อาภรณ์รัตน์ ภรรยาของ พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ 11.นายสมชาย ใจมุ่ง หรือรังษี เสรีชัย นักร้องลูกทุ่ง และ 12.นายสมหวัง อัศราษี ส่วนแกนนำคนเสื้อแดงที่แจ้งความจำนงลงสมัคร ส.ส.แบบแบ่งเขตมี 3 คน ได้แก่ 1.นายสมชาย ไพบูลย์ ต้องการลงสมัคร ส.ส.กทม. 2.นายวรชัย เหมะ ลงสมัคร ส.ส.สมุทรปราการ และ 3.จ.ส.ต.ประสิทธิ์ ไชยศรีษะ ลงสมัคร ส.ส.สุรินทร์ โดยนายณัฐวุฒิและนายจตุพรจะนำรายชื่อแกนนำคนเสื้อแดงทั้งหมดแจ้งต่อแกนนำพรรคเพื่อตัดสินใจภายในสัปดาห์นี้


ด้านนายณัฐวุฒิกล่าวถึงกรณีที่ นพ.เหวง โตจิราการ ระบุว่า พรรคเพื่อไทย (พท.) จะชนะการเลือกตั้งเกินครึ่ง โดยจะอยู่ในจำนวนประมาณ 250-270 เสียงว่า ข้อมูลดังกล่าวออกมาจากผลการทำโพลของพรรคเพื่อไทย และหน่วยราชการบางหน่วย ซึ่งสืบทราบว่าหน่วยราชการนี้จัดทำโพล และเราได้นำเอาออกมาเปรียบเทียบกับผลโพลของพรรคเพื่อไทย ซึ่งก็เห็นว่าตัวเลขทั้งหมดนั้นไม่ได้แตกต่างกันคือพรรคเพื่อไทยจะชนะการเลือกตั้ง ซึ่งพรรคการเมืองที่ได้รับการเลือกมาจากประชาชนในอันดับที่ 1 จะต้องได้ตั้งรัฐบาล และหากทุกพรรคการเมืองดำเนินการตามยุทธศาสตร์นี้ จะเป็นการเริ่มต้นของสันติภาพในประเทศ เพราะมันหมายถึงทุกพรรคการเมืองและผู้มีอำนาจสูงสุดในประเทศรับฟังเสียงความต้องการของประชาชนส่วนใหญ่ที่เลือกพรรคที่ชนะการเลือกตั้ง แต่หากพรรคที่ได้รับเลือกตั้งอันดับที่ 1 ไม่ได้ตั้งรัฐบาล ประชาชนก็อาจจะสรุปเอาเองได้ว่าผู้มีอำนาจของประเทศนี้ไม่ฟังเสียงของประชาชนและสถานการณ์อาจจะบานปลายเมื่อไรก็ได้

"ฮิโรยูกิ" ตายฟรี "ธาริต" ยันทูตญี่ปุุ่น "ไม่มีพยานหลักฐาน"


เมื่อวันที่ 31 มีนาคม ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ กล่าวภายหลังนายโนบุอากิ อิโตะ อัครราชทูตฝ่ายการเมือง สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่น ประจำประเทศไทย และเจ้าหน้าที่ตำรวจญี่ปุ่น เดินทางเข้าพบเพื่อติดตามความคืบหน้าคดีการเสียชีวิตของนายฮิโรยูกิ มูราโมโตะ ช่างภาพชาวญี่ปุ่น จากเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองเมื่อวันที่ 10 เม.ย.2553 ว่า


ดีเอสไอได้ชี้แจงความคืบหน้าว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ได้ส่งสำนวนการชันสูตรพลิกศพเพิ่มเติมกลับมาที่ดีเอสไอ โดยสรุปความเห็นว่าไม่มีพยานหลักฐานใดยืนยันว่าการตายของนักข่าวญี่ปุ่นเกิดจากเจ้าหน้าที่ของรัฐ และไม่มีเจ้าหน้าที่รัฐใดอ้างว่าเป็นผู้ทำให้นักข่าวญี่ปุ่นถึงแก่ความตาย ซึ่งหลังจากนี้ดีเอสไอจะนำสำนวนการชันสูตรพลิกศพของตำรวจเข้าประชุมหารือกับอัยการสูงสุดต่อไป

นายธาริตกล่าวว่า กรณีนี้เป็นกรณีที่ไม่เคยเกิดขึ้นที่เพราะมีการส่งกลับให้ตำรวจทำสำนวนการชันสูตรพลิกศพ ดังนั้นต้องรอผลการหารือร่วมกับอัยการสูงสุด จึงยังไม่สามารถระบุถึงแนวทางดำเนินการต่อได้ ทั้งนี้ สำนวนชันสูตรพลิกศพที่ตำรวจส่งกลับมายังดีเอสไอ มีข้อมูลเพิ่มเติมทั้งการสอบพยานหลักฐานทั้งบุคคล วัตถุและผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งไม่มีหลักฐานใดยืนยันว่าการตายของนักข่าวญี่ปุ่นเกิดจากเจ้าหน้าที่รัฐ สำหรับอัครราชทูตญี่ปุ่นไม่ได้แสดงท่าทีพอใจหรือไม่พอใจต่อการชี้แจงของดีเอสไอ แต่ทำหน้าที่เพียงรับทราบความคืบหน้าของคดี แต่ได้แสดงความเป็นห่วงเพราะมี

ในหลวงโปรดเกล้าฯ "พระองค์ภา" เป็น "รองอัยการจังหวัดหนองบัวลำภู

Princess Bajrakitiyabha 2010-10-6.jpg


วันที่ 30 มีนาคม 2554

ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีเรื่อง แต่งตั้งข้าราชการอัยการ


ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุว่า มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯแต่งตั้ง พระเจ้าหลานเธอพระองค์เจ้าพัชรกิติยาภารองอัยการจังหวัดพัทยา (ข้าราชการอัยการชั้น 3) ให้ทรงดำรงตำแหน่ง รองอัยการจังหวัดหนองบัวลำภู (ข้าราชการอัยการชั้น 3) ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2554


ประกาศ ณ วันที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2554

ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี


หมายเหตุ

พระราชประวัติ

ร้อยเอกหญิง พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา (อังกฤษ: Her Royal Highness Princess Bajrakitiyabha) พระราชธิดาองค์แรกใน สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร และพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ (ม.ล.โสมสวลี กิติยากร) ทรงเป็นพระราชนัดดา พระองค์แรกใน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ประสูติเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2521พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต

ลำดับทรงรับราชการ

  • พ.ศ. 2549 - อัยการผู้ช่วย สถาบันพัฒนาข้าราชการฝ่ายอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุด
  • พ.ศ. 2550 - อัยการประจำกอง(ข้าราชการอัยการชั้น 2) สำนักงานคดียาเสพติด
  • พ.ศ. 2551 - อัยการจังหวัดผู้ช่วย(ข้าราชการอัยการชั้น 2) สำนักงานอัยการจังหวัดอุดรธานี
  • พ.ศ. 2552 - รองอัยการจังหวัดอุดรธานี (ข้าราชการอัยการชั้น 3) สำนักงานอัยการจังหวัดอุดรธานี
  • พ.ศ. 2553 - รองอัยการจังหวัดพัทยา (ข้าราชการอัยการชั้น 3) สำนักงานอัยการจังหวัดพัทยา

วันพุธที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2554

สัมภาษณ์พิเศษฯ ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ "ฉันอยากให้ทั้ง 2 พระองค์ได้รับความยุติธรรม"



ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ พระราชทานสัมภาษณ์รายการทีวี ตรัสถึงความในพระทัยอยากให้คนรู้จักตัวตนอย่างแท้จริง ไม่อยากให้ไปฟังข่าวลือ หรือข่าวที่พูดๆ กันไป เผยการเกิดมาเป็นพระราชธิดาของพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระราชินีมีหน้าที่มากมาย ไม่ได้สุขสบายอย่างที่หลายคนคิด ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ ว่าต้องทำหน้าที่เพื่อประชาชน ส่วนอาการประ ชวรชี้ต้องรีบหายแม้ยังไม่สมบูรณ์นัก เพราะพระ เจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระราชินีก็ประชวรแต่ยังทรงงาน ทรงทุ่มเทเต็มที่ อยากให้ทั้ง 2 พระองค์ได้รับความยุติธรรม โดยช่วงที่อยู่วัดป่าบ้านตาด เป็นช่วงที่สงบสุขทั้งกายและใจ เวลาเครียดอยู่กับ"ลูกหมี"สุนัขทรงเลี้ยง เผยหลวงตาบัวสั่งไว้ก่อนละสังขารว่าอย่าร้องไห้

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 29 มี.ค. ที่ โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ถ.วิภาวดีรังสิต สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี เสด็จฉลองพระองค์ชุดกาวน์สีขาว ด้านในยังทรงชุดผู้ป่วยของโรงพยาบาลศิริราช พระราชทาน พระวโรกาสพิเศษสัมภาษณ์กับรายการโทรทัศน์วู้ดดี้เกิดมาคุย ทางโมเดิร์นไนน์ทีวี โดยมีพิธีกร"วู้ดดี้"วุฒิธร มิลินทจินดา ทำหน้าที่สัมภาษณ์

สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ตรัสถึงความรู้สึกว่า อยากให้คนที่ติดตามชมรายการได้รู้จักตัวตนของฉันอย่างแท้จริง ไม่อยากให้ไปฟังข่าวลือ หรือข่าวที่พูดๆ กันไป ณ วันนี้ คือตัวตนที่แท้จริงของฉันไม่มีบิดเบือน 15 ปีที่ผ่านมาเป็นเด็กวัด กินนอน ทำสมาธิอยู่ในกุฏิเล็กๆ ที่วัดกับหลวงตามหาบัว ทุกวันนี้ก็ยังเป็นเด็กวัด แม้ว่าหลวงตาฯปลงสังขารไปแล้ว มีกระแสข่าวมากมาย มีคำกล่าวว่ามากมาย มันย่อมมีผลกระทบกับชีวิตคนเราแน่นอน แต่อยากให้มองย้อนกลับไปพิจารณาคำนินทาว่ากล่าวนั้นว่า ตรงกับตัวเราหรือไม่ ถ้ามันเป็นจริงเราก็ต้องปรับปรุงแก้ไขตัวเองเสียก่อน แต่ถ้าไม่ตรงกับเรา ต้องปล่อยวางกับสิ่งเหล่านี้ทันที หลวงตาท่านสอนไว้ ตอนแรกเริ่มจะทำยากมาก แต่ก็พยายามสงบจิตใจและนึกถึงคำสอนของหลวงตา กำหนดลมหายใจ ทุกวันนี้สามารถทำได้อย่างสบายใจและสงบ

สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ทรงอุ้ม "ลูกหมี" สุนัขทรงเลี้ยง ขณะพระราชทานสัมภาษณ์พิเศษรายการ "วู้ดดี้เกิดมาคุย" เมื่อวันที่ 29 มี.ค.



สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ตรัสอีกว่า เรื่องในอดีตให้มันผ่านไป อนาคตคือสิ่งที่ยังมาไม่ถึง อย่าไปฟุ้งซ่านคาดเดา ให้อยู่กับปัจจุบัน การเกิดมาเป็นลูกของพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระราชินีมีหน้าที่มากมาย ไม่ได้สุขสบายอย่างที่หลายคนคิดหรือนึกภาพตามจินตนาการนิทานเจ้าหญิงเจ้าชาย ชีวิตถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กว่าต้องทำหน้าที่เพื่อประชาชน ต้องทำงานตั้งแต่อายุ 14 จนถึงเรียนจบปริญญาเอก

"ทุกวันนี้พระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระราชินี ท่านยังทรงงานแม้ว่าจะมีอาการเจ็บป่วย เห็นท่านตรากตรำทำงานเพื่อประชาชนของท่านมาตั้งแต่เด็กๆ เดินทางไปในแหล่งที่ไม่มีแม้กระทั่งถนน ช่วยเหลือประชาชน เด็กยุคใหม่ไม่รู้แล้วว่าท่านทำอะไรให้บ้านเมืองบ้าง ใจจริงของฉันอยากจะขอเวลาจากรายการทีวีช่วงสั้นๆ แค่ 5 นาที 10 นาที ฉายพระราชกรณียกิจที่ท่านทำ สงสารท่านเถอะ ท่านทุ่มเทเต็มที่ เอาใจใส่ทุกรายละเอียดทุกงานที่ทำทั้ง 2 พระองค์ ซึ่งทั้ง 2 พระองค์ทรงเป็นห่วงเรื่องความสามัคคีของคนไทย อยากให้กลมเกลียว คนไทยต้องเข้มแข็ง ชาติจะได้เจริญก้าวหน้าต่อไป ฉันอยากให้ทั้ง 2 พระองค์ได้รับความยุติธรรมตามที่ท่านควรจะได้รับ" สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ตรัส

สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ตรัสถึงอาการป่วยว่าหลังจากที่ผ่าตัดแล้วต้องพักถึง 3 เดือน แต่นี่ก็เลยช่วง 3 เดือนมาแล้ว ยังเดินไม่ค่อยสะดวก แต่ก็ยังต้องทำงานเพราะช่วงที่พักฟื้นพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระราชินีท่านเสด็จฯไปเยี่ยมเอง จนทำให้ฉันรู้สึกว่าไม่ได้แล้ว เราต้องรีบหาย ต้องรีบแข็งแรงตั้งใจที่จะหายและสามารถเดินได้ ทำงานได้ปกติ มาถวายงานท่านทั้ง 2 พระองค์ให้ได้เหมือนเดิม ช่วงนี้ได้รับมอบหมายให้ดูงานคณะแพทย์พอ.สว. ก็จะต้องเข้าไปรายงานความคืบหน้าให้ทั้ง 2 พระองค์ได้ทราบด้วย งานในส่วนของสถาบันวิจัยกับงานโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ก็ยังดำเนินต่อไป เมื่อมีปัญหา หรือมีเรื่องที่ต้องปรึกษาร่วมกับคณะก็ต้องเข้ามาอย่างต่อเนื่อง

สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ตรัสอีกว่า เวลาส่วนตัวของฉันจริงๆ คือช่วงที่ไปอยู่วัด เป็นช่วงที่สงบสุขทั้งกายและใจ นั่งสมาธิ สวดมนต์ เคยว้าเหว่เหมือนกัน ช่วงที่หลวงตาปลงสังขารไปใหม่ๆ ก็จะเอาดีวีดีคำสอนของท่านมาเปิดดู อ่านหนังสือของท่าน"หยดน้ำในใบบัว" หลวงตาท่านสอนว่าให้เก็บพ่อไว้ในใจ แล้วท่านจะอยู่กับทูลกระ หม่อมลูกตลอดไป(หลวงตาเรียกฟ้าหญิงว่าทูลกระหม่อมลูก) ฉันอยากไปอยู่วัดแต่ไม่เป็นที่ยอมรับของญาติมิตร เพราะเกรงว่าฉันจะหลุดไปจากโลกปัจจุบันนี้

"เวลาที่เหงาหรือเครียดก็มีคุยหรือระบายกับ "ลูกหมี" สุนัขที่ฉันเลี้ยง ลูกหมีเป็นสุนัขที่เข้าใจภาษาคน เพราะอยู่กับคนมาก เขาก็จะฉลาด เวลามีปัญหา หรือมีเรื่องมากระทบจิตใจไม่ว่าใครจะพูดอะไรข่าวจะออกมาในแง่ไหน หลักใหญ่ๆ คือจิตใจทุกอย่างสำคัญที่ใจ เมื่อใจเราคิดดีมีใจเป็นประธานแล้ว ทุกอย่างที่เราคิดก็จะดีตามมาเอง ก่อนที่หลวงตาจะปลงสังขารท่านสั่งไว้ว่าอย่าร้องไห้ ฉันก็จะไม่ร้องไห้ แม้กระทั้งท่านปลงสังขารก็ยังนิ่งอยู่ มีเกือบๆ เหมือนกัน หลวงตาท่านมาโปรดฉัน" สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ตรัส

สำหรับการพระราชทานสัมภาษณ์พิเศษของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี รวมถึงการดูแลพระอาการประ ชวรของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมทั้งทรงเผยให้ชมโต๊ะทรงงานและบันทึกพิเศษที่ท่านทรงพระอักษรจากใจ ความเชื่อเรื่องโลกแตกในฐานะนักวิทยาศาสตร์ เรื่องสนุกอารมณ์ดีกับเรื่องสุนัขทรงเลี้ยงและสุนัขประจำตึกที่โรงพยาบาลศิริราช จะออกอากาศในรายการ "วู้ดดี้เกิดมาคุย" อาทิตย์ที่ 3 เม.ย.นี้ เวลา 22.30 น. ทางโมเดิร์นไนน์ทีวี


http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROd01ERXdNak13TURNMU5BPT0=&sectionid=TURNd01RPT0=&day=TWpBeE1TMHdNeTB6TUE9PQ==

วันอังคารที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2554

คลิป "น้ำท่วมเกาะสมุย" ล่าสุดวันนี้


สถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่อำเภอเกาะสมุยน่าห่วง เทศบาลเมืองเกาะสมุยเร่งเตือนประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยและอพยพออกนอกพื้นที่ เนื่องจากฝนตกลงมาอย่างต่อเนื่องทำให้มีน้ำท่วมสูงในหลายพื้นที่และถนนถูกตัดขาด

วันนี้ ( 29 มี.ค. 54 ) นายรามเนตร ใจกว้าง นายกเทศมนตรีเมืองเกาะสมุยกล่าวว่า จากสถานการณ์ฝนตกหนักอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งคืนที่ผ่านมา ส่งผลให้ถนนรอบเกาะสมุยไม่สามารถสัญจรไปมาได้ และเกิดน้ำท่วมขังหลายพื้นที่และต้องยอมรับว่าเป็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นโดยไม่คาดคิดทำให้ต้องมีการรวบรวมเจ้าหน้าที่นำอุปกรณ์ต่างๆ ลงพื้นที่อย่างเร่งด่วนเพื่อเร่งระบายน้ำ โดยเทศบาลได้ตั้งศูนย์ปฎิบัติการศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจเตรียมการป้องกันแก้ไขปัญหา ขึ้นมา 3 ศูนย์ ซึ่งตั้งอยู่บริเวณตำบลแม่น้ำ ตำบลหน้าเมือง และตำบลบ่อผุด เพื่อประสานงานช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือนร้อน และเตรียมกำลังเจ้าหน้าที่เพื่ออำนวยความสะดวก ตามจุดต่างๆที่เป็นจุดเสี่ยง ได้แก่ หน้าบันดารา โค้งหนังทัน สามแยกบ่อผุด หน้าราชภัฎ ตลาดดาว ละไม และช่องเขา ซึ่งตลอดทั้งคืนที่ผ่านมาได้อพยพชาวบ้านในพื้นที่เสี่ยงภัยมายังศูนย์อพยพที่เทศบาลจัดไว้ โดยได้รับความร่วมมือจากกองพันทหารราบที่ 25 มาช่วยลำเลียงชาวบ้านในพื้นที่เสี่ยงภัยด้วย นอกจากนี้เทศบาลเมืองเกาะสมุยได้ลงพื้นที่เพื่อแจกจ่ายยาและของจำเป็นแก่ผู้ประสบภัยแล้ว
นายกเทศมนตรีเมืองเกาะสมุย กล่าวอีกว่า ขอแจ้งเตือนไปยังพี่น้องประชาชนที่อยู่บริเวณชายฝั่งเนื่องจากมีฝนตกหนักและคลื่นลมแรง จะทำให้พี่น้องประชาชนในพื้นที่ดังกล่าวได้รับอันตรายได้จึงขอให้อพยพไปยังพื้นที่ปลอดภัย หรือศูนย์ที่เทศบาลได้ตั้งไว้ โดยพี่น้องประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนสามารถแจ้งมาได้ที่ 0-7742-1421-2 หรือ 0-7723-1042


ช็อค!! คลิปสาวลาว โดนเปอเช่ซิ่งขาดสองท่อน

ที่วัดไทรน้อย อ.ไทรน้อย จ.นนทบุรี เป็นที่ตั้งศพของ นางสาวคำใบ อินทิลาด อายุ 17 ชาวลาวที่ถูกรถเก๋งปอร์เช่ป้ายแดง ทะเบียน ง 1532 กทม. ชนร่างขาด 2 ท่อน เสียชีวิตที่ถนนสาย 345 ต.บางคูวัด อ.เมือง จ.ปทุมธานี และนางอุไร อินทิลาด มารดา พร้อมด้วย นางลัดดา สุนทวงศ์ ป้า ได้มารับศพที่นิติเวช โรงพยาบาลธรรมศาสตร์ นำไปตั้งบำเพ็ญกุศลที่วัดไทรน้อย และได้มีนายศุภชัย ทักษิณทวีชัย อายุ 58 ปี ซึ่งเป็นเจ้าของรถป้ายแดง แต่มีนายพีรพล ทักษิณทวีทรัพย์ อายุ 19 ปี เป็นคนขับ ได้มาที่วัดไทรน้อย โดยเข้าพบกับมารดาและป้าของนางสาวคำใบ โดยเบื้องต้นได้ช่วยเหลือเป็นเงินจำนวน 30,000 บาท ในการใช้จ่ายสวดพระอภิธรรมศพ และในวันที่ 29 มี.ค. เวลา 10.00 น. จะนัดมารดาและป้าของผู้เสียชีวิตไปที่ สภ.เมืองปทุมธานี เพื่อตกลงค่าสินไหมทดแทนต่อหน้า พ.ต.ท.บัญชา มีเลิศ ซึ่งคาดว่าน่าจะตกลงกันได้ ส่วนเรื่องคดีความก็ส่งต่อให้ร้อยเวรเป็นผู้ดำเนินคดีต่อไป


ศาลสั่งล้มละลาย "หม่อมแม่-หญิงแม้นนฤมาส ยุคล"


วันที่ 29 มีนาคม 2554 นางศินภา ศรีปานอินทร์ เจ้าพนักงานศาลยุติธรรมชำนาญการพิเศษ ปฏิบัติราชการแทน ผู้อำนวยการสำนักอำนวยการประจำศาลล้มละลาย ได้โฆษณา ประกาศศาลล้มละลาย เรื่อง ให้ลูกหนี้ทราบกำหนดวันนัดพิจารณาและรับสำเนาคำฟ้องคดีล้มละลาย ผ่านสื่อหนังสือพิมพ์รายวัน

ประกาศระบุว่า ด้วย กองทุนรวมไทยรีสตรัคเจอริ่ง เจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์ ได้ยื่นฟ้อง หม่อม หรือ หม่อมเจ้าอัญชลี ยุคล ณ อยุธยา ว่าลูกหนี้เป็นหนี้เจ้าหนี้โจทก์ในมูลหนี้ตามคำพิพากษา รวมจำนวน 1,719,983.36 บาท และลูกหนี้มีหนี้สินล้นพ้นตัวโดยมีสินทรัพย์ไม่พอกับหนี้สินและต้องตามข้อสันนิษฐานของพ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2493 มาตรา 8(5) ขอให้ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาดและพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย แต่การส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้ลูกหนี้ไม่สามารถกระทำได้

จึงประกาศให้ หม่อมอัญชลี ยุคล ณ อยุธยา ลูกหนี้ ทราบแทนการส่งหมายเรียกศาล ได้นัดพิจารณาในวันที่ 8 มิถุนายน 2554 เวลา 9.30 น. ให้ลูกหนี้ไปศาลตามกำหนดนัดดังกล่าว และขอรับสำเนาคำฟ้องเรื่องนี้ได้ที่งานเก็บสำเนาศาลล้มละลายกลาง


หม่อมอัญชลี เป็นหม่อมลำดับที่ 2 ในหม่อมเจ้าจุลเจิม ยุคล หรือ ท่านใหม่
มีธิดาคือหม่อมราชวงศ์หญิงแม้นนฤมาส ยุคล หรือ หญิงแม้น สาวไฮโซชื่อดัง

"หอกทมิฬ แทงทมิฬ" พรรษิษฐ์ ลาออก ปชป. ตบหน้าด้วยเหตุผล 5 ข้อ


วันที่ 29 มีนาคม พรรษิษฐ์ ต่อสุวรรณ ได้เผยแพร่ "หนังสือลาออกจากสมาชิกพรรคประช
าธิปัตย์" ผ่านสื่อต่างๆ เนื้อความของหนังสือลาออก มีใจความ ดังนี้

....กราบเรียนท่านหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กระผมนายพรรษิษฐ์ ต่อสุวรรณ สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ประเภทสามัญเลขที่ 43414075 โดยผมได้สมัครเป็นสมาชิกตั้งแต่ปีพ.ศ. 2541 ในสมัยที่พรรคประชาธิปัตย์กำลังจะต้องตกเป็นฝ่ายค้านเพราะความนิยมกำลังถาโถมไปที่พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร และในที่สุดพรรคประชาธิปัตย์ก็พ่ายแพ้การเลือกตั้งทั่วไป และพรรคไทยรักไทยของ พ.ต.ท. ทักษิณก็ได้เป็นรัฐบาลสมัยแรก ตอนนั้นตัวกระผมเองได้หอบหิ้วปริญญาตรีและโทกลับมาจากประเทศสหรัฐอเมริกาภายหลังเหตุการณ์วิกฤติเศรษฐกิจไม่นานนัก พร้อมกับความเชื่อที่ว่าคนเราทุกคนควรมีส่วนร่วมทางการเมืองเพื่อสร้างสังคมที่ดี และการเป็นสมาชิกพรรคการเมืองก็น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีได้

ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมานั้น ผมเฝ้าติดตามความเป็นไปของการเมืองไทยในฐานะประชาชนคนไทยคนหนึ่ง ซึ่งไม่เคยมุ่งหวังที่จะเดินเข้าไปสู่สนามการเมืองแต่อย่างใด เพียงแต่ใช้กำลังกาย สมอง เวลา และโอกาสเท่าที่มีในการตอบแทนสังคมบ้างทั้งในฐานะอาจารย์ในมหาวิทยาลัย หรือนักเขียนมือสมัครเล่นในคอลัมน์หนังสือพิมพ์ฉบับต่าง ๆ ต่อเนื่องกันมาเป็นเวลาหลายปี สาเหตุที่ตอนนั้นกระผมตัดสินใจส่งใบสมัครมาที่พรรคประชาธิปัตย์แทนที่จะเป็นพรรคไทยรักไทย ซึ่งสมัยนั้นจะมีภาพลักษณ์ที่ทันสมัยกว่า และกำลังอยู่ในช่วงที่ได้รับความนิยมสูงขึ้นทั้งในสังคมเมืองและสังคมชนบท ก็เพราะว่า ตัวผมเองไม่เคยเชื่อเลยว่าเจ้าของกลุ่มทุนผูกขาดอย่าง พ.ต.ท. ทักษิณจะมีความจริงใจที่จะเสียสละในการเข้ามาช่วยเหลือประเทศชาติได้อย่างแท้จริง แต่มีความเชื่อว่าเนื้อแท้ของกลุ่มทุนผูกขาดโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสัมปทานของรัฐมักจะต้องเอารัดเอาเปรียบประชาชนอย่างเป็นธรรมชาติ ในขณะที่พรรคประชาธิปัตย์นั้นเป็นพรรดการเมืองที่เก่าแก่ยาวนาน มีความเป็นสถาบันการเมืองมากที่สุดเท่าที่มีอยู่ในสังคมการเมืองไทย แต่วันและเวลาสอนให้ผมได้เรียนรู้ถึงธรรมชาติของการเมืองไทยมากขึ้น ซึ่งในความเป็นจริงนั้นมีความลึกซึ้งมากกว่าภาพที่คนทั่ว ๆ ไปเห็นอยู่บนเวทีการเมืองที่เป็นทางการอยู่มากนัก แต่สำหรับผมแล้ว ช่วงเวลาสิบกว่าปีนี้ได้พิสูจน์ให้เห็นเนื้อแท้ของพรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นอย่างดีในระดับหนึ่ง และทำให้ผมได้คำตอบมาระยะหนึ่งแล้วว่าตัวเองนั้นคิดผิด ซึ่งผมขอประมวลเหตุผลมาประกอบดังต่อไปนี้

1. พรรคประชาธิปปัตย์จะไม่มีวันชนะใจประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศได้ เพราะขาดความจริงใจมุ่งแต่สร้างภาพจอมปลอม ประโยคนี้เป็นสัจธรรมเสมอ มาตั้งแต่เริ่มก่อตั้งพรรคประชาธิปปัตย์และน่าจะเป็นจริงตลอดไปด้วย ตราบใดที่จะยังคงมีพรรคนี้อยู่ในเวทีการเมืองไทย เพราะประวัติศาสตร์บอกว่าพรรคประชาธิปัตย์มักจะได้อำนาจรัฐหรือได้เป็นรัฐบาลโดยการเพลี่ยงพล้ำของพรรคขั้วตรงข้าม และมีพลังอำนาจพิเศษที่มาหนุนอยู่ตลอด ดังนั้นลักษณะของพรรคประชาธิปัตย์จะมักจะเชิดคนที่มีภาพลักษณ์ดี(สำหรับสังคมไทย) กล่าวคือมักจะเป็นคนที่มีลักษณะความสุภาพ อ่อนน้อมถ่อมตน หรือมีชาติตระกูลสูง หรือแม้กระทั่งคนมีหน้าตาดี นอกจากนี้อาจจะมีการเชิดชูภาพของความซื่อสัตย์เป็นจุดขาย แต่จะสังเกตได้ว่านั่นมักจะเป็นเพียงหน้าฉากของผู้นำพรรคเท่านั้น แต่เบื้องหลังของผู้นำพรรคหรือแม้กระทั่งเบื้องหลังหน้ากากอันสวยหรูของผู้นำพรรค ก็มักจะมีบรรดานักการเมืองสกปรกที่หิวโหยอยู่ข้างหลังอย่างสม่ำเสมอ ดังนั้นพรรคประชาธิปปัตย์จึงไม่เคยนำเสนอแนวทางในการบริหารพัฒนาบ้านเมืองอันใดได้เลย ที่ทำอยู่ก็จะมีเพียงนโยบายเฉพาะกิจ หรือเพื่อการประชาสัมพันธ์หาเสียงเท่านั้น มุ่งจะเล่นแต่การเมืองแต่ไม่เคยพัฒนาบ้านเมือง

2. การมุ่งเล่นแต่การเมือง ทำให้บรรดานโยบายของพรรคที่ออกมา ขาดพื้นฐานด้านข้อมูลที่เป็นจริง ขาดการศึกษาและวิเคาระห์ถึงปัญหาอย่างลึกซึ้ง ซึ่งความจริงแล้วพรรคประชาธิปัตย์ถึงแม้ว่าจะเป็นพรรคการเมืองที่แก่ที่สุด แต่ก็ไม่เคยมีนโยบายเป็นของตัวเองมาก่อน บรรดานโยบายของรัฐบาลอภิสิทธิ์ก็ต้องยอมรับว่าเป็นการคัดลอกและดัดแปลงมาจากนโยบายประชานิยมของพรรคไทยรักไทยในอดีตทั้งสิ้น แต่น่าเสียใจว่าการคัดลอกดัดแปลงนั้นกลับทำได้ย่ำแย่กว่าสมัยที่พรรคไทยรักไทยเป็นรัฐบาลเสียอีก พรรคประชาธิปัตย์เข้าใจว่าการที่พรรคไทยรักไทยชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลายเป็นเพราะประชาชนหิวโหยในผลประโยชน์ ดังนั้นการเข้ามาของรัฐบาลอภิสิทธิ์จึงเริ่มต้นด้วยการหว่านโปรยผลประโยชน์ ตั้งแต่นโยบายแจกเงินกินเปล่าให้ประชาชนหัวละสองพันบาท แต่จะเห็นได้ว่าการแจกเงินกินเปล่าเหล่านั้นไม่ได้ทำให้คะแนนนิยมของพรรคสูงขึ้น กลับลดลงเสียด้วยซ้ำ เป็นเพราะเหตุใด? ก็เพราะว่าวิธีการแจกเงินสองพันบาทโดยใช้ฐานข้อมมูลประกันสังคมนั้นไม่สามารถจะนำเงินไปสู่คนยากคนจนส่วนใหญ่ของประเทศอย่างแท้จริง ไปได้แค่เพียงคนชั้นกลางซึ่งมีข้อมูลอยู่ในทะเบียนฯเท่านั้น นโยบายนี้เหยียบย่ำหัวใจคนยากคนจนที่ส่วนใหญ่ที่ยากไร้ไม่มีที่ทำกิน ที่อยู่อาศัย จะมีประกันสังคมได้อย่างไร ในขณะที่นโยบายที่ลอกและสานต่อจากนโยบายไทยรักไทยอย่างโครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์หรือที่เรียกกันว่าโอท๊อป ซึ่งภาครัฐเคยจัดงานที่อิมแพคเมืองทองธานีเป็นประจำทุก ๆ ปี เป็นงานกึ่งตลาดนัดกึ่งแสดงสินค้า ซึ่งได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดีทั้งจากผู้ประกอบการขนาดเล็กและขนาดย่อม จากผู้นำเข้าและผู้ส่งออก ตลอดจนจากผู้บริโภคทั่ว ๆ ไป พอรัฐบาลอภิสิทธิ์เข้ามาบริหารก็ได้ย้ายสถานที่จัดงานมาตั้งอยู่ใจกลางเมือง ทั้งตามห้างสรรพสินค้าต่าง ๆ ทั้งในลานเอนกประสงค์หน้าห้างฯ บริเวณรอบสนามกีฬาแห่งชาติ และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมางานโอท็อปก็ต้องพับฐานลงอย่างน่าเสียดาย ด้วยเหตุผลหลายอย่าง ทั้งสถานที่จัดงานกระจัดกระจาย สภาพอากาศที่ไม่อำนวย ทำให้จำนวนคนเข้าชมงานลดน้อยลงอย่างมาก ผู้ค้าซึ่งมาจากต่างจังหวัดนอกจากจะขายสินค้าไม่ได้ ยังต้องแบกภาระค่ากินนอนเข้าไปอีกเพราะอดีตที่เคยอาศัยบริเวณจัดงานในอิมแพคฯก็ไม่มีค่าใช้จ่ายอะไร หัวอกคนยากคนจนและคนทำมาหากินซึ่งรัฐบาลประชาธิปัตย์ไม่เคยเข้าใจและคงไม่มีวันจะเข้าใจได้ สิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์ทำได้อย่างเชี่ยงชาญก็คือการใส่ไคล้ทำลายและช่วงชิงโอกาส ซึ่งล้วนเป็นเกมการเมืองทั้งสิ้

3. บริหารไร้ประสิทธิภาพแต่โกงเป็นมาตรฐาน ด้วยนโยบายหว่านผลประโยชน์กับการสร้างภาพของรัฐบาลชุดนี้ ทำให้รัฐต้องแบกภาระเพิ่มขึ้นมากมาย จะเห็นได้ว่ามีการกู้เงินมหาศาลกว่ารัฐบาลใดในอดีตเสียอีก แต่ลำพังการกู้นั้นมิสามารถทำให้รัฐบาลดำเนินนโยบายไร้ประสิทธิภาพเหล่านั้นต่อไปได้มากนัก รัฐบาลชุดนี้จึงมีกระบวนการสร้างภาระโดยการรีดภาษีจากคนชั้นกลางในมิติต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง จะเห็นได้ว่าสภาพเศรษฐกิจของประเทศมีความฝืดเคืองมากขึ้นเป็นลำดับ เพราะรัฐบาลนอกจากไม่ส่งเสริมการลงทุนภายในประเทศแล้ว กลับบั่นทอนกำลังการบริโภคของประชาชนไปเสียอีกด้วย ในขณะที่รัฐบาลชุดนี้เข้ามาบริหารประเทศ เราก็มักจะได้ยินข่าวการทุจริตมากขึ้นเป็นลำดับ บรรดาข่าวการทุจริตซึ่งส่วนใหญ่มาจากนโยบายจัดซื้อจัดจ้างการรับเหมาก่อสร้างมากมาย ซึ่งมีรูปแบบคลาสสิคโบราณ และน่าจะเป็นสิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์ไม่สามารถพัฒนาก้าวข้ามไปได้เลย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องฉาวโฉ่เกี่ยวกับโครงการนมโรงเรียน โครงการรถเมล์ โครงการต้นกล้าอาชีพของรัฐบาล ไปจนถึงโครงการรถเมล์BRT อภิมหาโครงการโมโนเรล โครงการซุปเปอร์สกายวอล์กของกรุงเทพมหานคร และอื่น ๆ อีกมากมาย ในขณะที่กฎเหล็ก 9 ข้อที่นายกอภิสิทธิ์ประกาศไว้เมื่อครั้งรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีกลับไม่เคยถูกกล่าวถึงอีกเลย

4. ไม่สร้างความปรองดองกลับสร้างความแตกแยก ก็ต้องยอมรับว่าในขณะที่รัฐบาลประชาธิปัตย์เข้ามาบริหารประเทศนั้น สังคมไทยอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งอย่างหนัก รัฐบาลประชาธิปัตย์เข้ามาพร้อมกับการต่อต้านของขั้วตรงข้ามในนามกลุ่มคนเสื้อแดง ซึ่งเริ่มก่อรูปมาตั้งแต่หลังเหตุการณ์รัฐประหารรัฐบาลทักษิณ การเคลื่อนไหวของกลุ่มเสื้อแดงนั้นต้องการล้มล้างรัฐบาลประชาธิปัตย์และคืนอำนาจแก่อีกขั้วการเมืองเป็นหลัก ดังนั้นรัฐบาลชุดนี้จึงต้องเผชิญกับการชุมนุมต่อต้านหลายครั้ง และบ่อยครั้งก็ได้พัฒนาไปถึงการจลาจล ซึ่งครั้งที่รุนแรงมากที่สุดก็คือการเผาเมืองพฤษภาคม2553 ถึงแม้ว่าแก่นแกนของการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดงอยู่ที่พ.ต.ท. ทักษิณ โดยมีแนวร่วมหลายส่วนที่เกี่ยวกับขบวนการเรียกร้องความเป็นประชาธิปไตย ความเท่าเทียมทางสังคม ฯลฯ ดังนั้นขบวนการคนเสื้อแดงจึงกลายเป็นขบวนการที่ใหญ่และใหญ่มากยิ่งขึ้น ในขณะที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ก็เกิดอาการฝ่อ และเลือกที่จะสร้างความปรองดองกับขบวนการเสื้อแดงโดยการย่ำยีหลักการของกฎหมาย ตั้งแต่การที่รัฐบาลไปเป็นแกนเคลื่อนไหวในการประกันตัวบรรดาแกนนำ ตลอดจนการละเว้นการติดตามทางคดีของผู้ก่อการเผาสถานที่ราชการ เอกชน ทำลายและปล้นทรัพย์สินในช่วงเหตุการณ์จลาจล การย่ำยีกฎหมายคือการสร้างความแตกแยกอันบาดลึก แต่เป็นที่สงสัยกันอยู่ว่าทั้งนี้เป็นไปก็เพื่อจะลอยตัว รักษาอำนาจ และสามารถเป็นรัฐบาลต่อไปได้เรื่อย ๆ หรือเปล่า

5. สิ่งที่เกิดขึ้นกับเหตุการณ์เขาพระวิหารแสดงให้เห็นถึงธาตุแท้ของพรรคประชาธิปัตย์ได้อย่างชัดเจน เพราะสิ่งที่นายกอภิสิทธิ์ได้เคยอภิปรายโจมตีในการยื่นยัตติไม่ไว้วางใจนายนพดล ปัทมะอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศในรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวชเกี่ยวกับบูรณภาพเหนือดินแดนรอบตัวปราสาทเขาพระวิหาร กลับกลายเป็นสิ่งที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ดำเนินการเหมือนกับรัฐบาลพรรคพลังประชาชนและตรงกันข้ามกับสิ่งที่ตัวเองพูดไว้ในสภาอย่างสิ้นเชิง หมายความว่าพรรคประธิปัตย์สามารถที่จะพูดอะไรก็ได้เพื่อให้เกิดโอกาสในการที่ตัวเองจะสามารถพลิกผันขึ้นมาถือครองอำนาจรัฐอย่างนั้นหรือ และผลของการบริหารประเทศเกี่ยวกับเรื่องนี้ยังได้ทำให้ประเทศไทยดูเหมือนไร้เกียรติไร้ศักดิ์ศรี ตกเป็นเบี้ยล่างของบรรดาประเทศเพื่อนบ้าน จนในที่สุดประเทศไทยก็จะต้องสูญเสียอธิปไตยเหนือดินแดนไปด้วยเหตุผลของความโง่เขลาหรือการมีผลประโยชน์ต่างตอบแทนก็สุดแล้วแต่ที่จะคาดเดาได้ ซึ่งความเป็นจริงแล้วถ้าศึกษากันดี ๆ ก็จะเห็นได้ว่าพรรคประชาธิปัตย์ดำเนินการเยี่ยงนี้ทำให้ประเทศชาติและสังคมไทยสูญเสียมาหลายครั้ง ล่าสุดก็ครั้งที่ประเทศมีวิกฤติเศรษฐกิจ รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์กับกรณี ป.ร.ส. ขายหนี้ของบรรดาไฟแนนซ์ที่รัฐบาลสั่งปิดลงไปให้กับบรรดากองทุนต่างชาติ จนทำให้ต่างชาติสามารถกอบโกยผลกำไรอันมหาศาลไปจากสังคมไทย ทิ้งไว้กับกองศพของคนล้มละลายเป็นจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนชั้นกลาง ผู้ประกอบการขนาดเล็กและขนาดย่อม ผลจากการบริหารเศรษฐกิจของรัฐบาลครั้งนั้น ทำให้ธนาคารเกือบทุกธนาคารในประเทศไทยต้องตกเป็นของต่างชาติในที่สุด หรือที่คนทั่ว ๆ ไปเค้าเรียกว่าเสียเอกราชทางการเงินนั่นเอง

ด้วยเหตุผลเบื้องต้นเพียง 5 ประการนี้ ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยมีอุดมการณ์อะไรเพื่อประโยชน์ของประชาชนและสังคมไทย พรรคจึงเป็นเพียงมายาภาพหลอกลวงคนที่สิ้นหวังกับการเมืองไทยในชั่วขณะหนึ่ง ๆ เท่านั้น ทุกวันนี้เราจะได้เห็นทั้งนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีแข่งกันขึ้นป้ายประชาสัมพันธ์ผลงานกันอย่างบ้าคลั่ง สมกับเป็นการเชิดปี่กลองสู้ศึกในเทศกาลเลือกตั้ง แต่กลับไม่เห็นรู้สึกถึงผลงานที่ออกมาอย่างกับในป้ายโฆษณาแต่อย่างใด ป้ายโฆษณาเหล่านี้กลับเป็นสิ่งที่ตอกย้ำให้ผู้คนซึ่งได้รับความลำบากทั้งชาวไร่ชาวนาที่ถูกกดราคาสินค้าเกษตร ทั้งคนชั้นกลางที่ถูกขูดรีดภาษีอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทั้งกับผู้บริโภคทั่วไปที่ถูกตีหัวจากราคาสินค้าที่ปรับขึ้นอย่างไม่เป็นธรรม ได้รู้สึกเจ็บแค้นอย่างเหนือคำบรรยาย ผมเป็นคนไทยคนหนึ่งซึ่งหมดศรัทธาต่อพรรคประธิปัตย์ และประสงค์ที่จะลาออกจากสมาชิกพรรคนับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

จึงเรียนมาเพื่อทราบ

พรรษิษฐ์ ต่อสุวรรณ