วันอาทิตย์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2556

ศึก "เจ๊แดง ชน เจ๊แดง" แม่เดือนเต็มดวง ณ เชียงใหม่ ลงสมัครชน "เจ๊แดง-เยาวภา" ส.ส.เชียงใหม่


วันที่ 31 มีนาคม 2556 (go6TV) พรรคประชาธิปัตย์ แถลงข่าวเปิดตัว นางกิ่งกาญจน์ ณ เชียงใหม่ ผู้สมัครรับเลือกตั้งซ่อม ส.ส.เชียงใหม่ เขต 3 หลังจากที่คณะกรรมการบริหารพรรคมีมติเอกฉันท์ในการประชุมครั้งที่ผ่านมา

ทั้งนี้ นางกิ่งกาญจน์ ยอมรับว่า ครั้งนี้เป็นการตัดสินใจยากที่สุดในชีวิตของความเป็นนักการเมือง เพื่อลงสมัครรับเลือกตั้ง แต่เมื่อหัวหน้าพรรคและสมาชิกพรรคให้ความไว้ใจ พร้อมให้กำลังใจว่า ขอให้เดินไปข้างหน้าทำอย่างเต็มที่และทำให้ดีที่สุดผลการเลือกตั้งจะเป็นอย่างไร ให้รอฟังวันที่ 21 เม.ย. จึงได้ตัดสินใจลงสมัคร แม้จะรู้ดีว่าพรรคเพื่อไทย จะส่ง นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ลงสมัครรับเลือกตั้งก็ตาม

อย่างไรก็ตามจากที่เคยเป็น ส.ส.มาก่อน และอยากทำงานเพื่อประชาชนชาวเชียงใหม่ จึงขอโอกาสชาวเชียงใหม่ให้การสนับสนุนคนเชียงใหม่แท้ๆ ได้เข้าไปทำงาน โดยจะปลุกจิตสำนึกให้ชาวเชียงใหม่เปลี่ยนแปลงแนวความคิดเหมือนกับคน กทม. ที่ไม่เลือกคนที่ไม่ยึดมั่นประชาธิปไตย เข้าไปเป็นตัวแทนประชาชน โดยยืนยันไม่มีปัญหาผู้สมัครที่เคยถูกวางตัวไว้ก่อนหน้านี้

ด้านแกนนำพรรค อาทิ นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน นางศิริวรรณ ปราศจากศัตรู และคุณหญิงกัลยา โสภณพนิช กล่าวย้ำว่า พรรคจะระดม ส.ส.ทุกคน ไปช่วยกันหาเสียงเลือกตั้ง แม้จะเวลาในการแข่งขันอีกไม่มากนัก เพื่อหวังให้เกิดความเปลี่ยนแปลงกับคนเชียงใหม่

วันเสาร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2556

"ชยิกา" แจงกรณี "วิป วิญญรัตน์" หลังประชาธิปัตย์พูดไม่จริง

30 มีนาคม 2556 go6TV - ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา น.ส.ชยิกา วงศ์นภาจันทร์ บุตรสาวนางเยาวเรศ ชินวัตร โพสต์ข้อความชี้แจงผ่าน เฟซบุ๊กส่วนตัว "แซนด์-ชยิกา" https://www.facebook.com/Sand.Chayika หลังจากพรรคประชาธิปัตย์กล่าวพาดพิง นายวิป วิญญรัตน์ บุตรชายนายพันศักดิ์ วิญญรัตน์ ระหว่างการประชุมสภาผู้แทนราษฏรการอภิปรายร่าง พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ โดยมีข้อความดังนี้



กรณีที่พรรคประชาธิปัตย์ ระบุว่านายวิป วิญญรัตน์ บุตรชายนายพันศักดิ์ วิญญรัตน์ ได้รับการว่าจ้างให้จัดทำโครงการวิจัยเรื่องรถไฟความเร็วสูงจากรัฐบาล ในระหว่างการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งของประเทศ พ.ศ. .... นั้นจากการตรวจสอบข้อมูลทั้งหมดแล้วพบว่าเรื่องนี้ไม่มีความจริงแต่ประการใด

จึงขอเรียนชี้แจงดังนี้

1. โครงการวิจัยเรื่องรถไฟความเร็วสูงนั้น ไม่ใช่เรื่องการก่อสร้างหรือโครงการด้านเทคนิคตามที่ฝ่ายค้านกล่าวไว้ แต่เป็น "โครงการศึกษาการสร้างมูลค่าและคุณค่า (Value Creation) ที่เกิดจากการลงทุนเพื่ออนาคตของประเทศไทย : กรณีศึกษาเรื่องรถไฟความเร็วสูง" โดย TCDC ได้จัดทำขึ้น โดยใช้งบประมาณจำนวน 5.6 ล้านบาท เพื่อศึกษาศักยภาพและความเป็นได้ของธุรกิจที่จะได้รับประโยชน์จากการลงทุนโครงการของภาครัฐ เช่น วัสดุไทยที่มีโอกาสเข้าไปตกแต่งในรถไฟความเร็วสูง สินค้าOTOP การศึกษามาตรฐานความปลอดภัยและสุขอนามัยต่างๆของสินค้า และผลกระทบทางเศรษฐกิจที่ตามมาสำหรับ SME และ OTOP 

ซึ่ง TCDC ได้จ้างนักวิจัยหลายส่วน ทั้งผู้เชี่ยวชาญด้านวัสดุ นักวิจัยข้อมูลเพื่อสำรวจภาคสนาม ซึ่งทั้งหมดนี้ ไม่มีการว่าจ้าง นายวิป วิญญรัตน์ โดยนายวิป ได้เข้ามาร่วมกลุ่มกับนักวิจัยอื่นๆ ทำงานเท่านั้น ไม่ได้มีชื่อปรากฏเป็นผู้รับจ้างดำเนินการวิจัยใดๆ 

2.กรณีโครงการนิทรรศการ Thailand 2020 นายกรัฐมนตรีมอบหมายให้ ประธานที่ปรึกษานโยบายของนายกรัฐมนตรี ดูแลภาพรวมของเนื้อหาการนำเสนอ ซึ่งทางคณะทำงานของประธานที่ปรึกษาฯ ได้รวบรวมและจัดส่งข้อมูลให้คณะผู้จัดทำ แต่ไม่มีการว่าจ้างใดๆ เกิดขึ้นทั้งสิ้น

3.นายวิป วิญญรัตน์ ได้รับการแต่งตั้งจากประธานที่ปรึกษานโยบายของนายกรัฐมนตรี ให้เป็นคณะทำงาน เพื่อปฏิบัติงาน การค้นคว้าและสืบค้นข้อมูล เช่นเดียวกับคณะทำงานคนอื่นๆ โดยไม่ได้รับค่าตอบแทนใดๆ จากส่วนราชการทั้งสิ้น

เสื้อแดงเชียงรายเปลี่ยนชื่อกลุ่ม หากมีสิ่งใดกระทบรัฐบาลจะออกมาขับเคลื่อนทันที

วันที่ 29 มี.ค. 2556 go6TV - ที่บ้านเลขที่ 226 ม.4 ต.แม่กรณ์ อ.เมือง ซึ่งเป็นบ้านของ น.ส.จิรนันท์ จันทวงษ์ แกนนำกลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตยเชียงราย  ได้มีการจัดแถลงข่าวการเปลี่ยนชื่อกลุ่มและแจ้งนโยบายการขับเคลื่อน โดย น.ส.จิรนันท์ ได้อ่านแถลงการณ์ว่ากลุ่มได้ตกลงกันจะเปลี่ยนชื่อจากเดิมคือ 24 มิถุนาประชาธิปไตยเชียงรายไปเป็น "กลุ่มลูกคนเมืองรักชาติ เชียงราย" เนื่องจากสมาชิกกลุ่มส่วนใหญ่เป็นชาวเชียงรายหรือภาคเหนือ และอยากให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กลับประเทศ ทั้งนี้กลุ่มจะธำรงค์ไว้ซึ่งสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ไม่ได้มีแนวทางหรือวัตถุประสงค์เดียวกับกลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตยแต่อย่างใด แต่ยืนยันว่าไม่ได้มีความขัดแย้งกับกลุ่มเดิมแต่อย่างใด น.ส.จิรนันท์ กล่าวว่าหากมีสิ่งใดกระทบรัฐบาลก็จะออกมาขับเคลื่อนทันที

น.ส.จิรนันท์กล่าวว่า ต่อไปนี้กลุ่มลูกคนเมืองรักชาติเชียงราย ชื่อย่อ “ลมชร.” จะขับเคลื่อนตามเป้าหมาย 7 ข้อ คือ 1. ธำรงไว้ซึ่งชาติ ศานา พระมหากษัตริย์ 2. ผดุงความยุติธรรมให้ประชาชนผู้เรียกร้องประชาธิปไตย ต่อต้านเผด็จการทุกรูปแบบ 3. สนับสนุนให้มีการนำรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนมาใช้บริหารประเทศ เรียกร้องความยุติธรรมให้ฝ่ายประชาธิปไตยทุกรูปแบบ 4 สนับสนุนให้ออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรมให้ประชาชนทุกฝ่าย 5. นำ พ.ต.ท.ทักษิณกลับบ้าน เพราะเป็นนายกรัฐมนตรีที่มาจากประชาชน 6. เข้าร่วมกิจกรรมทางการเมืองภาคประชาชนกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง และ 7. ร่วมกิจกรรมอื่นๆ ที่เห็นว่าเหมาะสม ยกเว้นเรื่องสถาบัน ซึ่งทางกลุ่มจะไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับกลุ่มที่เคลื่อนไหวเรื่องนี้ 

น.ส.จิรนันท์ กล่าวอีกว่ากลุ่มจะมีการจัดกิจกรรมครั้งใหญ่ในวันที่ 2 มิ.ย.นี้ โดยมีนายยงยุทธ ติยะไพรัช อดีต รมว.กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ไปเป็นประธานและมีนายวิสาร เตชะธีราวัฒน์ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) เชียงราย เข้าร่วม เพื่อจัดงานโรงเรียน นปช.ในพื้นที่เชียงรายขึ้นเป็นครั้งแรกหรือรุ่นที่ 1/2556 ณ อาคารคชสาร สนามกีฬากลาง จ.เชียงราย คาดว่าจะมีคนเสื้อแดงไปร่วมไม่ต่ำกว่า 1,000 คน กิจกรรมจัด 1 วัน จากนั้นจะมีการจัดตั้งเป็นสมาพันธ์คนเสื้อแดง จ.เชียงราย มีนายยงยุทธเป็นประธานและนายวิสารเป็นรองประธานต่อไป

วันศุกร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2556

นายกฯยิ่งลักษณ์ชี้แจง กรณีรถไฟความเร็วสูงขนส่งสินค้า



29 มีนาคม 2556 - ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากถูกผู้ไม่หวังดีต่อรัฐบาล บิดเบือนคำพูด โดยกล่าวหาว่าน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีพูดว่ามีรถไฟความเร็วสูงขนผัก ผักจะได้ไม่เน่า ทำให้อาหารสดและมีคุณภาพนั้น ล่าสุด น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Yingluck Shinawatra ชี้แจงในเรื่องดังกล่าว โดยมีข้อความดังนี้ 

"ขอขยายความเข้าใจเพิ่มเติม เรื่องแนวคิดการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้าน ในการนำประเด็นเรื่องการขนส่งสินค้าเกษตรทางรถไฟความเร็วสูง

การขนส่งสินค้าโดยรถไฟความเร็วสูงเป็นส่วนหนึ่งในการทำให้เศรษฐกิจเติบโตรองรับอนาคตและความเจริญ นอกจากนั้นยังเป็นการต่อยอดเศรษฐกิจสำหรับสินค้าเกษตร ซึ่งเป็นสินค้าที่ต้องการความรวดเร็วในการขนส่ง เพื่อให้สินค้ามีคุณภาพที่ดี สามารถจำหน่ายได้ในราคาที่สูง และผู้บริโภคได้รับสินค้าสินค้าที่สดใหม่ ไม่เน่าเสีย ในต่างประเทศถือเป็นเรื่องปกติในการส่งสินค้าเกษตรโดยใช้การขนส่งที่รวดเร็ว ตัวอย่างเช่น การขนส่งดอกไม้ด้วยเครื่องบิน (ซึ่งประเทศไทยทำมานานแล้ว) และในยุโรปก็ได้พัฒนาโครงการ Euro Carex (ยูโร แคเร็กซ์) โดยใช้รถไฟความเร็วสูงสำหรับขนถ่ายสินค้าโดยเฉพาะ ดังนั้น จึงไม่ใช่เป็นการวาดฝัน แต่เป็นจริงในหลายๆประเทศแล้ว และทำให้เกษตรกรสามารถส่งออกสินค้าเกษตรที่ต้องการมาตรฐานสูง ไม่ว่าจะเป็น ผัก ผลไม้ ดอกไม้ ฯลฯ

รถไฟความเร็วสูงเป็นการเชื่อมโยงแหล่งการผลิตระดับท้องถิ่นภายในประเทศสู่ภูมิภาคอาเซียน ทั้งยังเป็นการเพิ่มมูลค่าของสินค้าอุตสาหกรรมและสินค้าทางการเกษตรในการส่งถึงตลาดและผู้บริโภค ตลอดจนเพื่อให้ผู้โดยสารโดยเฉพาะคนในต่างจังหวัดประหยัดเวลาในการเดินทางมาทำงานจะได้มีเวลาอยู่กับครอบครัวมากขึ้น

ดิฉันเห็นว่า การนำคำพูดของดิฉันไปบิดเบือนเพื่อใช้เป็นประเด็นทางการเมือง เหนือประโยชน์ทางเศรษฐกิจของประชาชน เป็นเรื่องที่ไม่สร้างสรรค์ เป็นการดูถูกเกษตรกรที่ควรจะได้ลืมตาอ้าปากเสียที รถไฟความเร็วสูงจึงเป็นเครื่องมือที่ทำให้คนไทยมีโอกาสอย่างเท่าเทียมและทั่วถึง ลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำอย่างแท้จริง"

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า หลังจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความดังกล่าว ปรากฏว่ามีผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตจำนวนมากกดถูกใจข้อความดังกล่าวกว่าสามพันครั้ง กดแชร์กว่าห้าร้อยครั้ง และแสดงความเห็นรวมกว่าห้าร้อยความคิดเห็น โดยความเห็นทั้งหมดเป็นไปในทิศทางเดียวกัน คือแสดงความเห็นใจ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่ถูกกลุ่มผู้ไม่หวังดีนำข้อมูลไปบิดเบือนใส่ร้าย และขอให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ทำงานเพื่อบ้านเมืองต่อไป 
ตัวอย่างความเห็นในเครือข่ายสังคมออนไลน์


วันพฤหัสบดีที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2556

DSI รับคดี "โกงจัดซื้อยาพาราฯ และ โรงงานวัคซีน" สมัยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์แล้ว

รายงานข่าวจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ แจ้งว่า วันที่ 28 มีนาคมนี้ เวลา 10.00 น. นายกมล บันไดเพชร เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) จะเข้ายื่นหนังสือร้องเรียนกับนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ ให้ตรวจสอบการก่อสร้างโรงงานผลิตวัคซีน วงเงิน 1.4 พันล้านบาท ซึ่งมีกำหนดก่อสร้างตั้งแต่วันที่ 18 กันยายน 2552 สิ้นสุดวันที่ 28 มกราคม 2556 แต่ปรากฏว่ายังสร้างไม่เสร็จ และให้ตรวจสอบการสั่งซื้อวัตถุดิบผลิตยาพาราเซตามอล ที่ส่อว่าอาจจะมีการทุจริต

ข่าวแจ้งว่า ก่อนหน้านี้มีการประสานงานจาก สธ.ให้ดีเอสไอเข้าไปตรวจสอบเบื้องต้นในทั้ง 2 เรื่องนี้แล้ว พบข้อพิรุธน่าสงสัยหลายประเด็นที่จะส่อไปในทางทุจริต จึงได้รายงานผลไปยังรัฐมนตรี สธ. ให้มายื่นเรื่องอย่างเป็นทางการ เพื่อดีเอสไอจะได้ลงไปสอบสวนเชิงลึกอย่างเป็นระบบ 

"ที่ สธ.ขอให้ดีเอสไอตรวจสอบการจัดซื้อวัตถุดิบยาพาราเซตามอล ขององค์การเภสัชกรรม (อภ.) เนื่องจากปรากฏข่าวเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ ว่าโรงงานเภสัชกรรมทหาร ศูนย์การอุตสาหกรรมป้องกันประเทศและพลังงานทหาร กระทรวงกลาโหม ได้ตรวจวิเคราะห์วัตถุดิบในการผลิตยาเม็ดพาราเซตามอล เพื่อที่จะส่งมอบให้แก่ อภ. พบว่าวัตถุดิบหลายล็อต มีปัญหา ต้องส่งคืนให้แก่บริษัทผู้ผลิต ซึ่งในช่วงระหว่างปี 2554-2555 พบว่ามีวัตถุดิบมีปัญหาถึง 19 ล็อต และเป็นวัตถุดิบที่มาจากแหล่งเดียวกันกับแหล่งที่ อภ.ซื้อ หรือบางส่วนได้รับมาจาก อภ.สำรองไว้ นอกจากนี้ อภ.ยังมีวัตถุดิบพาราเซตามอลที่มาจากแหล่งดังกล่าวอีกประมาณ 148 ตัน เนื่องจากการปรับปรุงส่วนโรงงานการผลิตยาเม็ดพาราเซตามอลของ อภ.ยังไม่แล้วเสร็จ และคาดว่าจะเสร็จภายในเดือนมีนาคมนี้" แหล่งข่าวกล่าว

รายงานข่าวแจ้งว่า กรณี อภ.จัดซื้อวัตถุดิบพาราเซตามอลสำรอง 148 ตัน มีการจัดซื้อ 2 ครั้ง ครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2554 จำนวน 48 ตัน และครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2555 จำนวน 100 ตัน ต่อมาโรงงานเภสัชกรรมทหารประสบปัญหาด้านวัตถุดิบ จึงขอให้ อภ.เป็นผู้จัดหาวัตถุดิบพาราเซตามอลมอบให้แก่โรงงานเภสัชกรรมทหาร ซึ่ง อภ.ได้ส่งมอบวัตถุดิบให้แก่โรงงานเภสัชกรรมทหารเมื่อวันที่ 25 มกราคม 2556 จำนวน 5 ตัน และเมื่อวันที่ 28 มกราคม 2556 จำนวน 5 ตัน ต่อมาจึงมีข่าวปัญหาปนเปื้อนในยาพาราเซตามอล 

"จากข้อเท็จจริงดังกล่าว อภ.พิจารณาแล้วเห็นว่า การดำเนินการจัดซื้อวัตถุดิบยาพาราเซตามอล ของ อภ. อาจมีการทุจริตในการจัดหาผู้ขาย หรือการตรวจรับวัตถุดิบยาพาราเซตามอลของคณะกรรมการ และอาจส่งผลให้ยาพาราเซตามอลที่ผลิตออกมาไม่ได้มาตรฐาน เป็นเหตุให้ประชาชนผู้บริโภคได้รับอันตรายจากสารปนเปื้อน ดังนั้นเพื่อให้เกิดความชัดเจนและให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย จึงขอให้ดีเอสไอ พิจารณาดำเนินการตรวจสอบต่อไป" แหล่งข่าวกล่าว

ส่วนปัญหาโครงการจัดตั้งโรงงานผลิตวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ / ไข้หวัดนก ที่ ต.ทับกวาง อ.แก่งคอย จ.สระบุรี ของ อภ.ที่ สธ.ขอให้ดีเอสไอเข้าตรวจสอบนั้น สธ.ได้ตั้งข้อสังเกตว่า สัญญาที่ 1 จ้างก่อสร้าง ส่วนที่ 1 อาคารผลิต อาคารบรรจุ อาคารประกันคุณภาพและอาคารสัตว์ทดลอง จ้างบริษัท เอ็ม แอนด์ ดับเบิล ยู (ไทยแลนด์) วงเงิน 321 ล้านบาท, สัญญาที่ 2 จ้างก่อสร้าง ส่วนที่ 2 อาคารระบบสนับสนุนกลาง จ้างบริษัทสเตพไวส์ จำกัด วงเงิน 106,786,000 บาท

ขณะที่การจ้างที่ปรึกษาออกแบบ สัญญา 1 จ้างออกแบบโครงการก่อสร้างโรงงานผลิตวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ มาตรฐาน WHO-GMP (อาคารบรรจุ) จ้างบริษัท คลีนแอร์ โปรดักท์ จำกัด และบริษัท เอ็นจิเนียริ่ง เทคโนโลยี คอนซัลแตนท์ จำกัด วงเงิน 2,182,800 บาท, สัญญาที่ 2 จ้างออกแบบ โครงการก่อสร้างโรงงานผลิตวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ มาตรฐาน WHO-GMP (อาคารระบบ สนับสนุนส่วนกลางไฟฟ้า น้ำสุขาภิบาล ซ่อมบำรุงและอื่นๆ) จ้างบริษัท คอนซัลแตนท์ ออฟ เทคโนโลยี จำกัด วงเงิน 2,411,000 บาท

สัญญาที่ 3 จ้างออกแบบ โครงการก่อสร้างโรงงานผลิตวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ มาตรฐาน WHO-GMP (อาคารประกันคุณภาพและสัตว์ทดลอง) จ้างบริษัท สแปน คอนซัลแตนท์ จำกัด และ บริษัท ไอ อีซีเอ็ม จำกัด วงเงิน 2,107,900 บาท, สัญญาที่ 4 จ้างออกแบบ โครงการก่อสร้างโรงงานผลิตวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ มาตรฐาน WHO-GMP (อาคารผลิต) จ้างบริษัท ไดนามิค เอ็นจิเนียริ่ง คอนซัลแตนท์ จำกัด และ Technicat Competence Teample.Ltd วงเงิน 2,499,000 บาท

"ต่อมามีการแก้ไขสัญญางานก่อสร้าง โดยแก้ไขฐานราก จากเดิมกำหนดให้ใช้ฐานแผ่เป็นแบบฐานตอก มีการแก้ไขแบบ โดยยกระดับอาคารให้สูงขึ้น และมีการเพิ่มเงิน รวมทั้งมีการขยายระยะเวลาการก่อสร้าง โดยเพิ่มระยะเวลาการก่อสร้างให้กับผู้รับจ้าง มีการแก้ไขกระบวนการผลิต เดิมมีการกำหนดให้ผลิตวัคซีนเป็นแบบเชื้อตาย ต่อมามีการเปลี่ยนแปลงเป็นแบบเชื้อตายและเชื้อเป็น ซึ่งต้องมีกระบวนการแก้ไขและออกแบบการก่อสร้างและเครื่องมือการผลิตใหม่" แหล่งข่าวกล่าว

แหล่งข่าวกล่าวว่า ปัจจุบันผู้รับจ้างยังดำเนินการก่อสร้างไม่แล้วเสร็จ เนื่องจากต้องเสียเวลาจากการพิจารณาของ อภ.ในการอนุมัติ การแก้ไขสัญญา การขยายระยะเวลาการก่อสร้าง พิจารณาเพิ่มหรือลดวงเงินเป็นเหตุให้ราชการได้รับความเสียหาย ซึ่งจากข้อเท็จจริงดังกล่าว สธ.พิจารณาแล้วเห็นว่าการดำเนินการของ อภ. อาจมีการทุจริตในการจัดหาผู้รับจ้าง หรือกระทำโดยไม่ชอบด้วยระเบียบเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้าง และอาจจะมีความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 (พ.ร.บ.ฮั้ว) ดังนั้น เพื่อให้เกิดความชัดเจนและให้ความเป็นธรรม จึงขอให้ดีเอสไอพิจารณาดำเนินการตรวจสอบ

แหล่งข่าวจากดีเอสไอ เปิดเผยว่า ปัญหาการก่อสร้างโรงงานวัคซีนดังกล่าว อาจจะมีปัญหาเช่นเดียวกับโครงการก่อสร้างโรงพัก 396 แห่ง ที่มีปัญหาการก่อสร้างไม่แล้วเสร็จ

"พานทองแท้" ติดตามอภิปรายพ.ร.บ.กู้เงิน2ล้านล้าน หวังประชาธิปัตย์เลิกนิสัยค้านหยุมหยิม

28 มีนาคม 2556 go6TV - ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลาประมาณ 12.30 น. ที่ผ่านมา นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ข้อความผ่านทางเฟสบุ๊ก "Oak Panthongtae Shinawatra" มีเนื้อหาระบุว่ามีความคาดหวังว่าการอภิปรายร่าง พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้าน คมนาคมขนส่งของประเทศ เป็นไปอย่างสร้างสรรค์ แนะฝ่ายค้านเลิกนิสัยค้านหยุมหยิม ใครเป็นพวกเราทำอะไรดีหมด ใครไม่ใช่พวกทำอะไรก็ผิดหมด ทั้งนี้ นายพานทองแท้ โพสต์ข้อความดังนี้


"วันนี้เป็นวันแรกของการอภิปราย งป.2.2ล้านล้านครับ"

2วันต่อจากนี้สายตาของผม คงจะจับจ้องอยู่แต่หน้าจอทีวี เพื่อลุ้นว่างบประมาณก้อนนี้รัฐบาล"เพื่อไทย" จะนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์กับพี่น้องประชาชน เละประเทศไทยอย่างไรบ้าง

ทางด้านบวก แน่นอนครับว่า โครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ที่ควรจะมีการผลักดันให้เกิดขึ้นตั้งแต่ปีมะโว้ แต่จะด้วยเหตุผลทางด้าน เสถียรภาพทางการเมือง หรือวิสัยทัศน์ของผู้นำประเทศก็แล้วแต่ ที่ทำให้ไม่สามารถผลักดันให้เกิดขึ้นได้สักที ครั้งที่ใกล้เคียงมากที่สุด ก็เห็นจะเป็นสมัยพรรคไทยรักไทยในอดีต ซึ่งหากไม่มีการปฏิวัติเกิดขึ้น ป่านนี้พวกเราคงจะได้เห็น-ได้ใช้รถไฟความเร็วสูงวิ่งไปยังทุกภูมิภาค และเชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้านกันแล้ว

ทางด้านลบ เมื่อเป็นการใช้งบประมาณจำนวนมาก ก็ควรจะต้องเป็นหน้าที่ของฝ่ายค้านที่จะต้องคอย เป็นปากเป็นเสียงให้กับพี่น้องประชาชน ในการตรวจสอบให้การใช้งบประมาณให้เป็นไปอย่างคุ้มค่าที่สุด ถูกต้องที่สุด และรัดกุมที่สุด ครับ

หวังว่าการอภิปรายของทั้ง2ฝ่ายจะเป็นไปอย่างสร้างสรรค์นะครับ ฝ่ายรัฐบาลก็ควรจะเเถลง เเละอภิปรายให้กระชับ เมื่อพูดจบควรทำให้ผู้ฟังรู้สึกว่า รีบๆสร้างให้เสร็จเร็วๆเสียที รอให้สร้างมานานเเล้ว ฉันสนับสนุนเต็มที่ อะไรประมาณนี้

ส่วนการค้านนี่น่าเป็นห่วงครับ ฝ่ายค้านควรจะเลิกนิสัยค้านหยุมหยิม ไอ้นู่นก็ติ ไอ้นี่ก็ด่า ใครเป็นพวกเราทำอะไรดีหมด ใครไม่ใช่พวกทำอะไรก็ผิดหมดรัฐบาลทำผลงานดี จนได้คะเเนนเสียงเป็นอันดับ1 มากเกินครึ่งของประเทศ เเต่ไม่เคยได้รับคำชมจากฝ่ายค้านเลยเเม้เเต่ครั้งเดียว มันก็เเปลกดีเหมือนกัน

ขอตัวไปดูอภิปรายต่อนะครับ เเฟนเพจท่านใดว่างๆลองเปิดดูการอภิปรายนะครับ ดี-ไม่ดี อย่างไร เราค่อยมาเม้นท์กันเป็นระยะๆแล้วกันนะครับ ตอนนี้ขอตัวก่อน สวัสดีครับ"

ถ่วงความเจริญ! ชาวเน็ตสาปส่งลูกหาบประชาธิปัตย์ป่วนหน้าสภา แถมโชว์ง้าว สะกดเลขสองล้านล้านผิด

28 มีนาคม 2556 go6TV - ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อช่วงสายที่ผ่านมา กลุ่มลูกหาบพรรคประชาธิปัตย์ ในนามคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) นำโดย นายสุริยันต์ ทองหนูเอียด แกนนำพันธมิตรฯภาคเหนือที่อ้างว่าตนเองเป็นเลขาธิการ ครป. และบรรดาลูกหาบรวม 5 คน ได้บุกไปหน้ารัฐสภา โดยอ้างว่าจะยื่นหนังสือถึงประธานรัฐสภา เพื่อขอให้ถอนญัตติ พ.ร.บ.เงินกู้ 2ล้านล้านบาทออกจากสภา

ทั้งนี้ ในเครือข่ายสังคมออนไลน์ ผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตจำนวนมากรวมทั้งนายอรรถชัย อนันตเมฆ โพสต์ข้อความวิพากษ์วิจารณ์การเคลื่อนไหวของกลุ่มดังกล่าวว่า "พวกถ่วงความเจริญ" มือไม่พายเอาตีนราน้ำและตั้งคำถามว่า "เอาอย่างไรดี คนไทย?" ขณะเดียวกัน มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่า ป้ายผ้าที่กลุ่มดังกล่าวถือป่วนหน้าอาคารรัฐสภานั้น เขียนจำนวนตัวเลขผิด เพราะ "สองล้านล้าน" ควรจะเขียนว่า "2,000,000 ล้านบาท" ไม่ใช่ "2,000,000,000,000 ล้านบาท" สร้างความขบขันให้กับผู้พบเห็นเป็นจำนวนมาก




โรงงานวัคซีนดัมมี่! ดีเอสไอสอบรัฐบาลอภิสิทธิ์โกงพันล้าน

โรงงานผลิตวัคซีน จ.สระบุรี ราคา 1,411 ล้านบาท หมดสัญญาแล้ว ได้แต่กำแพงกับเสา
วันที่ 28 มีนาคม 2556 (go6TV) รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ฉาวซ้ำซาก เมื่อกระทรวงสาธารณสุข เสนอเรื่องทุจริตสร้างโรงงานผลิตวัคซีนในสระบุรี 1,411 ล้านบาท ได้แค่เสากับกำแพงโรงงาน แถมยังขอเงินเพิ่มอีก 100 ล้านขยายเวลาอีก 18 เดือน หมดสัญญาแล้วแต่สร้างไม่เสร็จ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อต้นปี 2552 รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้อนุมัติก่อสร้างโรงงานผลิตวัคซีนขององค์การเภสัชกรรม ด้วยงบประมาณ 1,411ล้านบาท ลงมือก่อสร้างปลายปี 2552 สัญญาเสร็จสิ้น ต้นปี 2556

ตลอดเวลาการก่อสร้างไม่คืบหน้า มีการซอยสัญญาก่อสร้างออกเป็น 2 สัญญา และซอยสัญญาออกแบบอีก 4 สัญญา  ตลอดระยะเวลาก่อสร้าง

ตลอดระยะเวลาก่อสร้าง มีการให้ผู้รับเหมาขอเพิ่มงบประมาณอีกมากกว่า 100 ล้านบาท อ้างว่าเป็นการทบทวนแบบก่อสร้าง 99 ล้าน  และเพิ่มค่าอุปกรณ์ติดตั้งอีก 60 ล้าน แถมยืดระยะเวลาก่อสร้างเพิ่มอีก 18 เดือน

โรงงานดังกล่าว เริ่มต้นสร้าง 18 กันยายน 2552 เสร็จสิ้นสัญญา มกราคม 2556 โดยมีรัฐมนตรี วิทยา แก้วภราดัย เป็นผู้วางศิลาฤกษ์ และตามกำหนดเริ่มทยอยนำเข้าเครื่องมือผลิตวัคซีนจากต่างประเทศ และต้องผลิตวัคซีนให้ได้ภายในกลางปี 2557 แต่จนบัดนี้ โรงงานดังกล่าวผลิตได้แค่เสาและกำแพงโครงสร้างไม่ถึง 50%  กระทรวงสาธารณสุขจะนำเสนอเสนอให้ดีเอสไอ ดำเนินการสอบสวนทุจริตต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายวิทยา แก้วภราดัย และนายกรัฐมนตรีสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ต่อไป

"โสภณ" โพสต์ภาพต้อนรับ "หม่อมหมู" ขยี้ซ้ำกทม.ยุคประชาธิปัตย์


28 มีนาคม 2556 go6TV - ดร.โสภณ พรโชคชัย อดีตผู้สมัคร ผู้ว่า กทม. หมายเลข 4 โพสต์ข้อความผ่านเฟสบุ๊กส่วนตัว ต้อนรับข่าว คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีมติรับรองผลการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. คนใหม่ หม่อมราชวงศ์ สุขุมพันธุ์ บริพัตร จากพรรคประชาธิปัตย์ โดยมีเนื้อหาระบุตีแผ่ความจริงของ กรุงเทพมหานคร ในยุคการบริหารงานของพรรคประชาธิปัตย์

ดร.โสภณ ระบุว่า ปัจจุบันอาคารศาลาว่าการกรุงเทพมหานครสูง 37 ชั้นที่ดูภายนอกเหมือนสร้างเสร็จแล้ว แต่ความจริงยังสร้างไม่แล้วเสร็จ ล่าสุดแก้แบบมาตั้งแต่สมัยยุคนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน จนมาถึงปัจจุบัน ก็ยังไม่แล้วเสร็จ กรณีนี้ หากอาคารหลังนี้มีมูลค่า 4,000 ล้านบาท โดยประมาณว่ามีมูลค่า 100,000 บาทต่อหนึ่งตารางเมตรของพื้นที่ใช้สอยได้ ก็นับเป็นความสูญเสียมหาศาล เพราะปีหนึ่งหากได้อัตราผลตอบแทนจากการลงทุน 8% ตามที่กำหนด ก็จะเป็นเงินถึง 320 ล้านบาท การไม่ได้ประโยชน์มาเป็นเวลาถึง 5 ปี ก็ย่อมเป็นเงินมากกว่า 1,500 ล้านบาทนับถึงวันนี้ 

อันที่จริงในพื้นที่ศาลาว่าการกทม. 2 นี้มีขนาดรวมกันถึง 80 ไร่ ซึ่งนับเป็นทำเลทอง พื้นที่ขนาด 80 ไร่นี้คิดเป็น 128,000 ตารางเมตร หากก่อสร้างได้ 10 เท่าของที่ดินก็จะสามารถก่อสร้างได้ 1,280,000 ตารางเมตร หาก 50% ของพื้นที่ก่อสร้างสามารถนำมาใช้ประโยชน์ (ที่เหลือเป็นพื้นที่สิ่งอำนวยความสะดวกและอื่น ๆ) ก็จะมีขนาด 640,000 ตารางเมตร หากมูลค่าต่อตารางเมตรเป็นเงิน 100,000 บาท พื้นที่นี้ก็จะสามารถพัฒนาได้เป็นเงินรวมกันถึง 64,000 ล้านบาท กทม.ก็จะมีพื้นที่เหลือเฟือเพื่อการปฏิบัติงาน และยังมีพื้นที่เหลือเพื่อให้เช่าหารายได้มาพัฒนากทม.เพิ่มเติม

ปตท.แจงข่าวลือโซเชียลเน็ตเวิร์กข้อมูลไม่ถูกต้อง

ภาพงานเสวนาที่ปตท. ออกมาโต้ข้อมูลบิดเบือนในอินเตอร์เน็ต
กรุงเทพฯ  28 มี.ค. 2556 go6TV -  ปตท. ออกมาโต้ข้อมูลทางโซเชียลเน็ตเวิร์กที่ระบุว่าผลิตได้ถึง 1,000,000 บาร์เรลต่อวัน ยอมรับว่ามีตัวเลขดังกล่าวจริง แต่เป็นความเข้าใจผิด เพราะมาจากการผลิตก๊าซธรรมชาติจากอ่าวไทย 3,600 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน คิดเป็น 700,000 บาร์เรลต่อวัน แต่ปัจจุบันใช้ในการผลิตไฟฟ้าทั้งหมดซึ่งยังไม่เพียงพอ ต้องนำเข้าเพิ่มเติมจากพม่า "ข้อมูลที่เผยแพร่ออกไปมาจากพื้นฐานเดียวกัน แต่ไม่ถูกต้อง จึงอยากชี้แจงเพื่อให้เกิดความเข้าใจทั้งหมด" นายณัฐชาติกล่าว 

ในงานเสวนาโต๊ะกลม เรื่อง  “หายนะพลังงานไทย” จัดโดยสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติและชมรมคอลัมนิสต์นักจัดรายการวิทยุและโทรทัศน์ไทย  นายณัฐชาติ  จารุจินดา ประธานเจ้าหน้าที่ปฎิบัติการ กลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย บริษัท ปตท. มองว่า ประเทศไทยอยู่ในภาวะเสี่ยงด้านพลังงาน เพราะยังต้องพึ่งพาการนำเข้าน้ำมันส่วนใหญ่ จากความต้องการใช้น้ำมันสูงกว่าการผลิตจริง โดยการใช้อยู่ที่ 100 ล้านลิตรต่อวัน ในขณะที่การผลิตอยู่ที่ 34 ล้านลิตรต่อวัน โดยจากสถิติพบว่า การใช้น้ำมันของไทย อยู่อันดับที่ 19 ขณะที่การผลิต อยู่ที่อันดับ 32 และปริมาณสำรอง อยู่ที่อันดับ 47 ของโลก

ภาพบรรยากาศ ในงานเสวนา
นายณัฐชาติ ยืนยันว่า ราคาน้ำมันขายปลีกในไทยไม่ได้สูงกว่าประเทศอื่น เป็นราคาขายปลีกที่อยู่ในระดับกลาง และในส่วนของ ปตท. ได้รับกำไรที่แท้จริงจากการขายน้ำมัน 30 สตางค์ต่อลิตร เนื่องจากปีที่ผ่านมา ได้รับค่าการตลาดเฉลี่ยที่ 1.40 บาทต่อลิตร จากที่รัฐกำหนดในอัตราที่เหมาะสมที่ 1.50 บาทต่อลิตร แต่ค่าการตลาดที่ได้รับดังกล่าว ปตท. จะต้องแบ่งให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 ร้อยละ 50 จึงได้รับค่าการตลาดจริงเพียง 70 สตางค์ต่อลิตร และต้องนำไปใช้ในการบริหารจัดการและการขนส่ง 40 สตางค์ต่อลิตร จึงเหลือค่าการตลาดที่แท้จริงเพียง 30 สตางค์ รวมทั้งรัฐกำหนดให้ผู้ค้ามาตรา 7 จะต้องเก็บสำรองน้ำมันเพื่อความมั่นคงร้อยละ 5 ของความต้องการใช้ หรือคิดเป็น 36 วัน รวม 3,600 ล้านลิตร คิดเป็นต้นทุน 100,000 กว่าล้านบาท ที่โรงกลั่นน้ำมันจะต้องรับภาระ

วันพุธที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2556

ตามคาด! "สลิ่มไร้สติ" ด่ากราดธนบัตร 20 บาทใหม่

27 มีนาคม 2556 นางทองอุไร ลิ้มปิติ รองผู้ว่าการ ด้านบริหาร ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แถลงว่า ธปท.จะนำธนบัตรชนิดราคา 20 บาท แบบใหม่ ออกใช้ในวันที่ 1 เมษายน 2556 โดยธนบัตรรุ่นใหม่นี้ได้พัฒนาและปรับเปลี่ยนรูปแบบ เพื่อให้มีรูปลักษณ์ที่มีความสวยงาม ทันสมัย มีความเป็นสากลมากขึ้น และได้นำเทคโนโลยีต่อต้านการปลอมแปลงแบบใหม่มาใช้เพื่อให้ประชาชน ผู้มีความบกพร่องทางสายตา รวมทั้งการตรวจสอบด้วยเครื่องจักรนับคัดธนบัตร และเครื่องรับธนบัตรอัตโนมัติ สามารถตรวจสอบได้ง่ายขึ้น ธนบัตรชนิดราคา 20 บาท แบบใหม่ (แบบ 16) มีขนาด และสีเช่นเดียวกับแบบที่ใช้ในปัจจุบัน (แบบ 15)โดยมีขนาด กว้าง 72 มิลลิเมตร ยาว 138 มิลลิเมตร และสีโดยรวมเป็นสีเขียว ลักษณะต่อต้านการปลอมแปลงที่สำคัญประกอบด้วย


1. ลายน้ำ พระบรมฉายาสาทิสลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน และลายน้ำตัวเลขไทย ๒๐ที่มีความโปร่งแสงเป็นพิเศษ มองเห็นได้ชัดเจนเมื่อส่องดูกับแสงสว่าง
2. แถบสีเขียวที่ ฝังไว้ในเนื้อกระดาษธนบัตรตามแนวยืน ปรากฏให้เห็นเป็นระยะที่ด้านหลังธนบัตรสามารถเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีม่วงแดงเมื่อเปลี่ยนมุมมอง
3. ภาพซ้อนทับ ตัวเลข 20 พิมพ์แยกไว้บนด้านหน้าและด้านหลัง เมื่อยกธนบัตรส่องดูกับแสงสว่างจะเห็นเป็นตัวเลข 20 ที่สมบูรณ์
4. ลายพิมพ์นูน ที่ตัวอักษรและตัวเลขแจ้งราคา เมื่อใช้ปลายนิ้วลูบสัมผัสจะรู้สึกสะดุด นอกจากนี้ยังมีสัญลักษณ์สำหรับผู้มีความบกพร่องทางสายตา เป็นรูปดอกไม้สีเขียวเข้มในแนวตั้ง 2 ดอก มาจากตัวเลข “2” ในอักษรเบรลล์ธนบัตรชนิดราคา 20 บาท แบบใหม่นี้ สามารถแลกได้ที่สาขาธนาคารพาณิชย์ทุกแห่งทั่วประเทศ สำหรับธนบัตรแบบที่ใช้ในปัจจุบันรวมทั้งแบบที่ใช้ก่อนหน้านี้ ยังคงชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย

ภายหลังการเผยแพร่ภาพธนบัตรใหม่ราคา 20 บาทแค่ชั่วโมงเศษ โลกโซเชี่ยลได้ร้อนฉ่าขึ้นตามความคาดหมาย เมื่อสลิ่มทั้งหลายต่างวิพากษ์วิจารย์ตลอดจนด่ารัฐบาลอย่างไม่มีเหตุผล ว่าเปลี่ยนแปลงธนบัตร ไม่มีตรา ภปร.ประจำพระองค์  เป็นการยึดอำนาจ  ใส่ร้ายว่าดัดแปลงพระบรมฉายาลักษณ์ให้เหมือนอดีตนายกรัฐมนตรี ตลอดจนกล่าวสบถด้วยถ้อยคำหยาบคายอย่างไร้การศึกษา
เหตุการณ์เช่นนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วก่อนหน้านี้ เมื่อคราวเปลี่ยนแปลงภาพบนธนบัตรราคา 50 บาทเมื่อต้นปีที่แล้ว





กกต.ลงมติ 4:1 รับรอง "ชายหมู" เป็นผู้ว่าฯ กทม. เพราะสอบสวนไม่ทัน!


ที่ประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีมติเสียงข้างมาก 4 ต่อ 1 ประการศรับรอง ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร เป็นผู้ว่าฯ กทม. เนื่องจากยังไม่สามารถสอบสวนคำร้องให้เสร็จได้ภายใน 30 วัน

ฮาละเหวย! ก.จริยธรรมสภาฯ สรุป "สส.ณัฏฐ์-ปชป." ดูภาพโป๊ไม่ผิด


วันที่ 27 มีนาคม 2556 (go6TV) ที่รัฐสภา มีการประชุมคณะกรรมการจริยธรรมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นประธาน ซึ่งมีการพิจารณาเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับจริยธรรมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ภายหลังคณะอนุกรรมการตรวจสอบจริยธรรมได้เสนอผลการตรวจสอบเพื่อให้ลงมติเห็นชอบ อาทิ เรื่องร้องเรียนนายณัฏฐ์ บรรทัดฐาน ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ ที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีต ส.ว.สรรหา ร้องเรียนมีพฤติกรรมขัดต่อประมวลจริยธรรม กรณีดูภาพไม่เหมาะสมในห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งคณะอนุกรรมการมีมติเห็นว่าไม่ขัดต่อประมวลจริยธรรม เนื่องจากเป็นการกระทำที่ไม่ได้ตั้งใจและขาดเจตนา โดยที่ประชุมคณะกรรมการจริยธรรมมีมติให้ยกคำร้องเรื่องดังกล่าว เพราะเห็นว่านายณัฏฐ์ไม่มีเจตนาในการกระทำดังกล่าว

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังมีมติไม่รับคำร้องกรณีที่ให้ตรวจสอบเรื่องนายประชา ประสพดี ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย ที่ใช้ถ้อยคำไม่สุภาพ ด่าทอ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ที่อภิปรายพาดพิงนายกรัฐมนตรีเรื่อง ว.5 โฟร์ซีซั่นส์ แม้คณะอนุกรรมการจะเห็นว่าเป็นการกระทำผิดจริยธรรม เนื่องจากเสียงไม่ถึง 3 ใน 5 จึงทำให้ต้องจำหน่ายเรื่องนี้ออกไป

ขณะเดียวกันที่ประชุมมีมติให้คณะอนุกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงเพิ่มเติมกรณีที่นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ส.ส.กทม.พรรคเพื่อไทย กล่าวหาผู้ว่าฯกทม.เรื่องทุจริตติดตั้งกล้องซีซีทีวีและการติดตั้งกล้องดัมมี่ รวมทั้งให้รับเรื่องร้องเรียนที่ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ก่อเหตุความวุ่นวายปาแฟ้มเอกสารในที่ประชุมสภา เมื่อครั้งที่มีการอภิปรายร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง ไว้พิจารณาด้วย

ประชาธิปัตย์ฉาวอีกแล้ว บังคับเด็กถือป้ายด่ารัฐบาล

ฉาวอีกแล้ว! แฟนเพจกระบอกเสียงพรรคประชาธิปัตย์ I Support PM Abhisit ใช้เด็กเป็นเครื่องมือทางการเมือง บังคับถือป้ายกระดาษตำหนินโยบายรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ทางด้านชาวเน็ตสวดยับเป็นถึงพรรคเก่าแก่กลับเล่นเกมการเมืองสกปรก สีหน้าเด็กบอกบุญไม่รับ ทำหน้าเอือมระอาสุดทนแต่เป็นเด็ก ถูกสั่งให้ทำ ไม่ทำไม่ได้




"จาตุรนต์" นำทีมเสวนา Experience for AEC


26 มีนาคม 2556 go6TV - ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 15.00น. ที่ผ่านมา สถาบันศึกษาการพัฒนาประชาธิปไตย จัดเสวนาวิชาการ "กฏหมายและสนธิสัญญาของสหภาพยุโรป ต่อรัฐสมาชิก" (EU treaty and regulation among state members : Experience for AEC) ที่ห้องกมลทิพย์ โรงแรมสุโกศล ทั้งนี้ กิจกรรมดังกล่าวมีผู้เข้าร่วมเป็นจำนวนมาก อาทิ นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ในฐานะประธานสถาบันศึกษาการพัฒนาประชาธิปไตย นายวิบูลย์ แช่มชื่น ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นายศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ ฯลฯ 

ชมภาพถ่ายเพิ่มเติมได้ที่ FB go6TV Community
https://www.facebook.com/media/set/?set=a.652166758130317.1073741853.173829542630710&type=1


วันอังคารที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2556

สถานการณ์ไม่น่าไว้ใจ! "ทักษิณ" ส่งหน่วยซีลมาคุ้มครอง "นายกฯยิ่งลักษณ์"


วันที่ 26 มีนาคม 2556 (go6TV) ผู้สื่อข่าวรายงานทำเนียบรัฐบาลว่า ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีแล้วเสร็จ ที่บริเวณด้านหน้าตึกแดง สำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (ครม.) สังเกตเห็น "ร.ท.ธวัชชัย กลีบเมฆ" อดีตนายทหารเรือประจำศูนย์รักษาความปลอดภัย (ศรภ.) ในสมัยที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งร.ท.ธวัชชัยได้เข้ามาทักทายกับผู้สื่อข่าวที่มีความคุ้นเคยกันมาในสมัยปฏิบัติงานในทำเนียบรัฐบาล โดยผู้สื่อข่าวได้พยายามสอบถามว่า "มาทำอะไร" ซึ่งร.ท.ธวัชชัยกล่าวตอบเพียงว่า มาช่วยงานก่อนขอตัวและเดินจากไป

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ร.ท.ธวัชชัยเป็นนายทหารหน่วยซีลแห่งกองทัพเรือ และได้โอนย้ายมาสังกัด ศรภ. ทำหน้าที่ในทีมบอร์ดี้การ์ดของพ.ต.ท.ทักษิณช่วงที่เป็นนายกรัฐมนตรี ภายหลังเหตุการณ์รัฐประหาร 19 ก.ย. 2549 ได้ลาออกจากราชการและติดตามให้การอารักขาพ.ต.ท.ทักษิณในฐานะบอดี้การ์ดส่วนตัวตลอดช่วงที่อยู่ต่างประเทศ รวมไปถึงทำหน้าที่เป็นช่างภาพ และนำภาพโพสต์ผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์กให้พ.ต.ท.ทักษิณบ่อยครั้ง

ทั้งนี้นอกจากร.ท.ธวัชชัยแล้ว ในช่วงเช้าที่ผ่านมา ยังได้พบพล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ อดีตผู้สมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) ในนามพรรคเพื่อไทย เดินขึ้นตึกบัญชาการ 1 ซึ่งเป็นห้องทำงานของรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีอีกด้วย

รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า การที่ร.ท.ธวัชชัยเข้ามาร่วมทีมคณะทำงานนายกรัฐมนตรีครั้งนี้ เพราะเป็นความประสงค์ของพ.ต.ท.ทักษิณ ที่ต้องการให้ร.ท.ธวัชชัยเข้ามาช่วยดูแลน.ส.ยิ่งลักษณ์ และช่วยดูแลงานการรักษาความปลอดภัยในภาพรวม ส่วนพ.ต.ท.วทัญญ วิทยผโลทัย หรือ "สารวัตรหนุ่ย" ผู้ช่วยนายเวร (สบ.3) นายตำรวจติดตามคนเดิม ก็ยังคงปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ

"วราเทพ" เผย "พ.ร.บ.ไทยแลนด์2020" เพื่ออนาคตประเทศไทย


นายวราเทพ รัตนากร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แจกเอกสารข่าวให้กับสื่อมวลชน เพื่อชี้แจงการออก พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท โดยระบุว่า ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ คือร่าง พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ พ.ศ. .... หรือร่าง พ.ร.บ.ไทยแลนด์ 2020 โดยสถานการณ์ขณะนี้คือประเทศไทยจำเป็นที่จะต้องเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันกับนานาประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาเศรษฐกิจที่มีการขยายตัวอย่างรวดเร็วทั้งในภูมิภาคและในโลก ซึ่งเราจะเห็นได้ว่าประเทศมหาอำนาจอย่างจีน กำลังดำเนินการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างมาก โดยเฉพาะด้านคมนาคมขนส่ง เพราะเป็นส่วนที่ทำให้เกิดการค้า การลงทุน การส่งออกและการท่องเที่ยว จึงเห็นว่าถึงเวลาแล้วที่เราควรต้องยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ด้านการคมนาคมขนส่ง จึงมีการกำหนดวิสัยทัศน์ในการก้าวไปสู่ไทยแลนด์ 2020 ในอีก 6-7 ปีข้างหน้า

นายวราเทพระบุต่อว่า รัฐบาลได้มีการกำหนดแผนงานยกระดับเกี่ยวกับการเปลี่ยนระบบการขนส่ง จากทางถนนไปสู่ระบบราง คือ รถไฟ ซึ่งทุกประเทศจะมีการเปลี่ยนแปลงให้ใช้การขนส่งทางถนนน้อยลง เนื่องจากเป็นการขนส่งที่มีต้นทุนสูง โดยเฉพาะเชื้อเพลิง ปริมาณการขนส่งที่ได้จำนวนน้อย และความปลอดภัย ซึ่งก็จะทดแทนด้วยระบบราง แต่ประเทศไทยนั้นระบบรางมีน้อยมาก แล้วยังล้าหลังไม่มีประสิทธิภาพ ซึ่งก็จะมีการเปลี่ยน นอกเหนือจากระบบราง ซึ่งเป็นรถไฟรางคู่แล้ว เรายังจะมีรถไฟความเร็วสูง ที่ออกจากศูนย์กลางประเทศคือ กรุงเทพมหานคร ไปแต่ละภูมิภาคทั้งภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหลือ ภาคตะวันออกและภาคใต้ ซึ่งนี่คือการเปลี่ยนระบบถนนให้เป็นระบบรางให้มากขึ้น

นอกจากนี้จะสามารถลดต้นทุนในการขนส่งได้เร็วขึ้นโดยจะเป็นการประหยัดเรื่องพลังงาน เพราะเชื่อว่าการยกระดับการขนส่งทางถนน มาเป็นระบบรางให้มากขึ้นจะสามารถประหยัดต้นทุนพลังงานเชื้อเพลิง คือน้ำมันประมาณ 1 แสนล้านบาท

นายวราเทพระบุต่อว่า ส่วนประเด็นที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญนั้น เชื่อได้ว่าพรรคประชาธิปัตย์ทราบดีอยู่แล้วว่าไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ เพราะในสมัยที่นายกรณ์ จาติกวณิช เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ก็ได้มีการหารือไปยังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และที่ประชุมของคณะกรรมการกฤษฎีกาคณะที่ 12 ก็ได้มีการวินิจฉัยว่าการใช้จ่ายเงินกู้ ไม่ว่าจะเป็น พ.ร.บ.หรือ พ.ร.ก. (พระราชกำหนด) ก็ตาม ซึ่งในขณะนั้นเป็น พ.ร.ก.ด้วยซ้ำไป ก็ไม่เป็นการขัดต่อมาตรา 169 ของรัฐธรรมนูญ เนื่องจากมาตรา 169 ของรัฐธรรมนูญนั้นกำหนดเอาไว้ว่าการจ่ายเงินของแผ่นดิน ซึ่งก็เป็นรายได้ของแผ่นดินที่อยู่ในบัญชีเงินคงคลัง ตรงนั้นต้องดำเนินการตาม พ.ร.บ.การใช้จ่ายงบประมาณประจำปี หรือ พ.ร.บ.เงินคงคลัง

นายวราเทพระบุต่อว่า พ.ร.บ.ไทยแลนด์ 2020 ไม่ได้เกี่ยวข้องกับ พ.ร.บ.การบริหารหนี้สาธารณะ เพราะระดับกฎหมายศักดิ์และสิทธิ์นั้นถือว่าเท่าเทียมกัน และ พ.ร.บ.การบริหารหนี้สาธารณะนั้นก็ยังคงอยู่เหมือนเดิม ซึ่ง พ.ร.บ.ไทยแลนด์ 2020 เป็นเพียงวิธีการที่จะนำมาใช้การบริหารและการกู้เงินสำหรับการพัฒนาประเทศ เหมือนกับ พ.ร.บ. หรือ พ.ร.ก.อีกหลายสิบฉบับ ที่ออกมาเพื่อกู้เงินในสมัยที่ผ่านๆ มา

"เรามีรายละเอียดส่งไปให้สภาเรียบร้อยแล้ว แต่ครั้งนี้เราได้แนบบัญชีท้ายร่าง พ.ร.บ. เพื่อที่จะบอกว่าเงินกู้ทั้งหมดนั้นจะไปดำเนินการตามยุทธศาสตร์ใดบ้าง ทั้ง 3 ยุทธศาสตร์และ 7 แผนงาน ซึ่งได้มีการจัดส่งรายละเอียดเป็นซีดีบันทึกข้อมูลไปยังสภาเรียบร้อยแล้ว นอกจากนี้ ในชั้นกรรมาธิการ ที่จะต้องมีการพิจารณาในรายละเอียดทั้งหมด โดยมีตัวแทนจากพรรคการเมืองต่างๆเข้าไปร่วมเป็นคณะกรรมาธิการก็จะมีเอกสารอีกนับพันหน้าส่งมอบไปให้ ซึ่งสามารถตรวจสอบได้อยู่แล้ว" นายวราเทพระบุ

ตะลึงทั้งวงการ! เมื่อ ดร.นะยะ ชื่อดัง เปิดทีมงาน “แก๊งตะโกนในโรงหนัง” เวอร์ชั่น 2013



วันที่ 26 มีนาคม 2556 (go6TV) ตะลึงทั้งวงการกับการสื่อสารการเมืองแนวใหม่ เมื่อ ดร.เสรี วงศ์มณฑา  อานิก อัมระนันท์ (สส.ระบบบัญชีรายชื่อพรรค ปชป.) แทนคุณ จิตอิสระ จั๊ด –ธีมะ  ได้ร่วมกันจัดโครงการ “บอกต่อความจริง”  โดยมีรูปแบบของการจัดกลุ่มสัมมนาย่อย ฝึกการปล่อยข่าว ข้อมูล แก่คนรอบข้าง ชุมชน โดยใช้วิธี “word of mouth” หรือที่ภาษาไทยใช้คำว่า “ปล่อยข่าวลือ” โดยทีมดังกล่าวใช้ชื่อในเฟสบุ๊ค และเว็บว่า “บอกต่อความจริง”

หลักการและเหตุผล

โดยในหลักคิดของโครงการนี้ได้รับการสนับสนุนเผยแพร่จากพิธีกรชื่อดังสุดฉาวในขณะนี้ “ภิญโญ ไตรสุริยะธรรมา” เข้าร่วมฟังการอบรม และทำเทปบันทึกเป็นรายการ “สยามวาระ” ออกอากาศทางสถานีไทยพีบีเอสด้วย
หลักคิดของพรรคประชาธิปัตย์คือ การสร้างมวลชนในการสกัดกั้น 15 ล้านเสียงเพื่อประโยชน์ของคนกลุ่มเดียว จึงใช้วิธีการ “เม๊า” หรือกลยุทธ์การบอกต่อความจริงด้วยปากต่อปาก ให้ได้รับข้อมูลที่พรรคประชาธิปัตย์ต้องการ และ ดร.เสรี ยังสอนการ “เม๊า” อย่างไรให้ปลอดภัย ไม่เสียหน้า ไม่ผิดกฎหมาย สกัดกั้นฝ่ายตรงข้ามเพื่อพลิกคะแนน 15 ล้านเสียงมาเป็นของพรรคประชาธิปัตย์  เสียงของการ “เม๊า” นั้นจะพลิกเปลี่ยนประเทศมาเป็นสังคมน่าอยู่เพราะคนดีปกครองบ้านเมือง   
ภิญโญ ไตรสุริยะธรรมา

เจ้าของโครงงานคือ อานิก อัมระนันทน์ อดีตนักศึกษามหาวิทยาลัยออกฟอร์ด เพื่อนรุ่นพี่ของอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ  การจัด “เม๊า” เลวๆ นี้จัดมาแล้วเกือบร้อยกลุ่ม มีผู้เข้าร่วมมากกว่า 2000 คนทั่วประเทศทั้งกรุงเทพฯ เชียงใหม่ ขอนแก่น สมุทรปราการ อำนาจเจริญ  โดยโครงการนี้ได้รับการสนับสนุนและเผยแพร่ออกทางสื่อสารมวลชนโดย นายภิญโญ ไตรสุริยะธรรมมา ที่มาบันทึกจัดทำเป็นเทปรายการเผยแพร่ในรายการ “สยามวาระ” ด้วย









เพื่อไทย เชิญ "คลัง-คมนาคม" แจงส.ส.ก่อนอภิปราย 2ล้านล้าน ตอบฝ่ายค้านตามความจริงในสภา


รายงานข่าวจากพรรคเพื่อไทย แจ้งว่า เมื่อเวลา 13.00 น. วานนี้ (25 มีนาคม) นายภูมิธรรม เวชยชัย เลขาธิการพรรคเพื่อไทย เป็นประธานการประชุมส.ส.ของพรรคที่แสดงความจำนงเข้าร่วมรับฟังการชี้แจงและซักถามผู้แทนจากกระทรวงการคลังและกระทรวงคมนาคม เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนการอภิปรายร่างพ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาท ในสภาผู้แทนราษฎร ระหว่างวันที่ 28-29 มีนาคมนี้  โดยมี ส.ส.ของพรรคเข้าร่วมรับฟังกว่า 30 คน

ทั้งนี้ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกฯและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และนายวราเทพ รัตนากร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เข้าร่วมประชุมเพื่อชี้แจงและตอบข้อสงสัยของส.ส.ด้วย

ข่าวแจ้งว่า ในที่ประชุม ส.ส.ฝากไปยังรัฐมนตรีให้เน้นถึงความโปร่งใสของการกู้เงินเพื่อนำมาพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม และให้ตรวจสอบได้ รวมทั้งโครงการจะดำเนินการอย่างไรและการกู้เงินในจำนวน 2 ล้านล้านบาท ทั้งนี้ ส.ส.ได้เน้นให้รัฐมนตรีที่ทำหน้าที่ชี้แจงในสภาตอบตรงไปตรงมา และไม่ต้องไปกังวลกับวาทกรรมที่พรรคประชาธิปัตย์จะใช้โจมตีในสภาให้ตอบตามข้อเท็จจริง เพราะการออกพ.ร.บ.กู้เงินครั้งนี้ สามารถให้ตรวจสอบได้

วันจันทร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2556

เฟซบุ๊ก "ยิ่งลักษณ์" แจงแนวคิด 6 ข้อ พ.ร.บ.กู้ 2 ล้านล้าน ชูไทยเป็นศูนย์กลางอาเซียน

เฟซบุ๊กนายกรัฐมนตรี และเว็บไซต์รัฐบาลไทย ขึ้นข้อความชี้แจงแนวคิดรัฐบาลกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท ชูประโยชน์พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระดับภูมิภาค ทั้งประเทศเพื่อนบ้านและอาเซียน

วันนี้ (25 มี.ค.) เฟซบุ๊ก “Yingluck Shinawatra” และเว็บไซต์รัฐบาลไทย http://www.thaigov.go.th ขึ้นข้อความชี้แจง พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาท จาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มีข้อความว่า การลงทุนโครงสร้าง 2 ล้านล้าน นั้น จะเป็นประโยชน์ต่อการการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระดับภูมิภาค ทั้งประเทศเพื่อนบ้านและ ASEAN โดยแนวคิดที่รัฐบาลใช้ในการพัฒนาโครงสร้างของประเทศ คือ

1) เป็นการพัฒนาเพื่อสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศซึ่งขาดการลงทุนโครงการใหญ่ ที่ต่อเนื่องมานานทำให้ประเทศอื่นเขาพัฒนาไปกว่าเรามาก 

2) เป็นการเชื่อมโยงแนวคิดภายใต้กรอบ Connectivity ที่เชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อให้เมืองไทยเป็นศูนย์กลางยุทธศาสตร์ที่เชื่อมต่ออาเซียน และเกิดฐานการเชื่อมประชากร 600 ล้านคน นั้นคือโอกาสในการสร้างรายได้ของคนไทย และการใช้ไทยเป็นศูนย์กลางการลงทุนสู่อาเซียน 

3) ประเทศไทยขาดการเชื่อมเส้นทาง บก น้ำ อย่างเชื่อมต่อเพื่อให้ต้นน้ำซึ่งจากแหล่งวัตถุดิบ ผ่านแหล่งอุตสาหกรรมซึ่งเป็นกลางน้ำ ไปยังปลายน้ำ ก็คือการส่งออก เพื่อลดต้นทุนในการขนส่ง รวมถึงร่นระยะเวลาการเดินทางนั้นหมายถึง อาหารที่สดขึ้น ลดต้นทุนในการสูญเสีย 

4) การเชื่อมสถานที่ท่องเที่ยวจากเมืองต่างๆ เข้าด้วยกัน เช่น เชียงราย-เชียงใหม่-แม่ฮ่องสอน กำแพงเพชร-สุโขทัย-ตาก-อุตรดิตถ์ เพื่อดึงความเจริญ เพื่อเชื่อมเมืองท่องเที่ยว ทั้งนี้ก็ไม่ใช่เพียงแต่เราจะมีรายได้เพิ่มแล้ว เราจะดึงให้นักท่องเที่ยวอยู่นานขึ้นอีกด้วย

5) การเชื่อมเส้นทางโดยสาร เพื่อให้คนมีทางเลือก เดินทางโดยรถไฟความเร็วสูง เพื่อลดค่าใช้จ่าย ปลอดภัยจากการใช้รถบนท้องถนน หลักการนี้ ยังกระจายความเจริญจากหัวเมืองไปยังชานเมือง ลดความแออัดให้คนกรุง เติมเต็มความเจริญให้กับนอกเมืองตามยุทธศาสตร์ประเทศ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ นั่นคือ เราจะทำให้เมืองชนบทนั้นเจริญขึ้น ก็คือรายได้ของประเทศที่เพิ่มขึ้น ควบคู่กับคุณภาพชีวิตที่สะดวก เร็ว ลดค่าใช้จ่าย และความแออัดด้วย

6) ตัวเลขเศรษฐกิจที่เป็นผลลัพธ์ที่เห็นเป็นรูปธรรมที่จะได้ค่าขนส่งที่ลดลง 2% ในช่วงของการลงทุนมูลค่า GDP เพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยประมาณ 1% ต่อปี และการจ้างงานประมาณ 500,000 อัตรา ซึ่งจะส่งผลทั้งความแข็งแรง การหมุนเวียนเศรษฐกิจในประเทศอย่างเข้มแข็งต่อไปในอนาคต

นายกฯย้ำโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานประเทศ เพื่อนำไทยสู่ศูนย์กลางประชาคมอาเซี่ยน

เฟสบุ๊คของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงโครงการลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ โดยมีรายละเอียดดังนี้

"การลงทุนโครงสร้าง 2 ล้านล้าน นั้น จะเป็นประโยชน์ต่อการการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระดับภูมิภาค ทั้งประเทศเพื่อนบ้านและ ASEAN โดยแนวคิดที่รัฐบาลใช้ในการพัฒนาโครงสร้างของประเทศ คือ


1) เป็นการพัฒนาเพื่อสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศซึ่งขาดการลงทุนโครงการใหญ่ ที่ต่อเนื่องมานานทำให้ประเทศอื่นเขาพัฒนาไปกว่าเรามาก

2) เป็นการเชื่อมโยงแนวคิดภายใต้กรอบ Connectivity ที่เชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อให้เมืองไทยเป็นศูนย์กลางยุทธศาสตร์ที่เชื่อมต่ออาเซียน และเกิดฐานการเชื่อมประชากร 600 ล้านคน นั้นคือโอกาสในการสร้างรายได้ของคนไทย และการใช้ไทยเป็นศูนย์กลางการลงทุนสู่อาเซียน

3) ประเทศไทยขาดการเชื่อมเส้นทาง บก น้ำ อย่างเชื่อมต่อเพื่อให้ต้นน้ำซึ่งจากแหล่งวัตถุดิบ ผ่านแหล่งอุตสาหกรรมซึ่งเป็นกลางน้ำ ไปยังปลายน้ำ ก็คือการส่งออก เพื่อลดต้นทุนในการขนส่ง รวมถึงร่นระยะเวลาการเดินทางนั้นหมายถึง อาหารที่สดขึ้น ลดต้นทุนในการสูญเสีย

4) การเชื่อมสถานที่ท่องเที่ยวจากเมืองต่างๆ เข้าด้วยกัน เช่น เชียงราย-เชียงใหม่-แม่ฮ่องสอน กำแพงเพชร-สุโขทัย-ตาก-อุตรดิตถ์ เพื่อดึงความเจริญ เพื่อเชื่อมเมืองท่องเที่ยว ทั้งนี้ก็ไม่ใช่เพียงแต่เราจะมีรายได้เพิ่มแล้ว เราจะดึงให้นักท่องเที่ยวอยู่นานขึ้นอีกด้วย

5) การเชื่อมเส้นทางโดยสาร เพื่อให้คนมีทางเลือก เดินทางโดยรถไฟความเร็วสูง เพื่อลดค่าใช้จ่าย ปลอดภัยจากการใช้รถบนท้องถนน หลักการนี้ ยังกระจายความเจริญจากหัวเมืองไปยังชานเมือง ลดความแออัดให้คนกรุง เติมเต็มความเจริญให้กับนอกเมืองตามยุทธศาสตร์ประเทศ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ นั่นคือ เราจะทำให้เมืองชนบทนั้นเจริญขึ้น ก็คือรายได้ของประเทศที่เพิ่มขึ้น ควบคู่กับคุณภาพชีวิตที่สะดวก เร็ว ลดค่าใช้จ่าย และความแออัดด้วย

6) ตัวเลขเศรษฐกิจที่เป็นผลลัพธ์ที่เห็นเป็นรูปธรรมที่จะได้ค่าขนส่งที่ลดลง 2% ในช่วงของการลงทุนมูลค่า GDP เพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยประมาณ 1% ต่อปี และการจ้างงานประมาณ 500,000 อัตรา ซึ่งจะส่งผลทั้งความแข็งแรง การหมุนเวียนเศรษฐกิจในประเทศอย่างเข้มแข็งต่อไปในอนาคต"