วันที่ 3 ธันวาคม 2555 (go6TV) ที่ห้องพิจารณา
803 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก วันนี้ (3 ธ.ค.) ศาลอ่านคำพิพากษาคดีดำ อ.4177/2552
ที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และอดีตนายกรัฐมนตรี
เป็นโจทก์ฟ้อง นายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง
แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เป็นจำเลย
ในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326
, 328 และ 332
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า
เมื่อวันที่ 11 และ 17 ต.ค.2552 จำเลยได้กล่าวปราศรัยเวทีอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยและ
ทำเนียบรัฐบาล ต่อกลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดงซึ่งได้มีการถ่ายทอดสด ผ่านทางโทรทัศน์พีเพิล
แชนเนล ทำให้เข้าใจประชาชนว่า โจทก์และรัฐบาลของโจทก์
ทำให้องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ ตรอมพระทัยทรงพระประชวร
ซึ่งรัฐบาลโจทก์เอาประเทศชาติไปกู้เงินมาแล้วโกง โจทก์เป็นนายกรัฐมนตรีใจอำมหิตย์
ปล้นอำนาจจากประชาชน สั่งให้ทหารสร้างสถานการณ์โดยใช้อาวุธสงครามฆ่าประชาชน
โดยรัฐบาลโจทก์ยังทุจริตคอรัปชั่นหลายโครงการ อาทิ โครงการชุมชนพอเพียง
โครงการไทยเข้มแข็ง รถเมล์ NGV 4,000 คัน
และโจทก์ยังเป็นผู้หน่วงเหนี่ยวคำร้องฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ
ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งคำปราศรัยของจำเลยเป็นความเท็จทั้งสิ้น
ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นและถูกเกลียดชัง
ซึ่งจำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า
จำเลยยอมรับว่าเป็นผู้ปราศรัยและกล่าวข้อความตามที่โจทก์ฟ้องและถอดเทปจริง
ซึ่งถ้อยคำนั้นมีความหมายชัดเจนที่วิญญูชนได้ฟังแล้วย่อมเข้าใจว่าข้อความที่กล่าวนั้นเป็นจริง
ขณะที่โจทก์เป็นพยานเบิกความว่า ได้มีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบในโครงการต่างๆ
และได้มีการยุติบางโครงการ เช่น รถเมล์ NGV 4,000 คัน
ซึ่งแม้ว่าจำเลยจะเป็นนักการเมืองฝ่ายตรงข้ามและไม่เห็นด้วยกับนโยบายรัฐบาลโจทก์และจะมีสิทธิ์วิพากษ์วิจารณ์ตรวจสอบโจทก์ในฐานะนายกรัฐมนตรีที่ถือเป็นบุคคลสาธารณะ
แต่การที่จำเลยนำเรื่องการทำงานของโจทก์มา
กล่าวปราศรัยเชื่อมโยงเข้ากับอาการพระประชวรของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ
โดยอาศัยช่วงเวลาขณะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระประชวร มากล่าวโจมตีโจทก์
ทั้งที่ๆ จำเลยทราบดีอยู่แล้วว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ
ทรงมีพระทัยห่วงในทุกเรื่องที่เกี่ยวกับบ้านเมือง ไม่ใช่เฉพาะแค่กรณีโจทก์
ซึ่งการกระทำของจำเลยเป็นการยืนยันข้อเท็จจริงที่ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นจริงหรือไม่
โดยจำเลยเองก็ไม่มีพยานหลักฐานใดมายืนยันพิสูจน์ข้อเท็จจริงนั้น
ส่วนคลิปเสียงที่จำเลยอ้างว่า โจทก์สั่งฆ่าประชาชนนั้น
แม้โจทก์จะยอมรับว่าเป็นเสียงของโจทก์จริง
แต่คลิปนั้นมีการตัดต่อเสียงจากรายการเชื่อมั่นประเทศไทยกับนายอภิสิทธิ์
ซึ่งได้มีการตรวจพิสูจน์จาก หน่วยพิสูจน์หลักฐาน สตช.
และสถาบันนิติวิทยาศาสตร์แล้วเมื่อเดือน ก.ย.2552
ก่อนที่จำเลยจะนำมากล่าวอ้างเมื่อวันที่ 11 ต.ค.2552 ที่เป็นเวลาเกือบ 1 เดือน
ไม่ใช่ทราบเมื่อวันที่ 22 มิ.ย.2553 ตามที่จำเลยอ้าง
จึงแสดงให้เห็นว่าจำเลยรู้อยู่แล้วว่าอาจจะมีการตัดต่อเสียง ซึ่งจำเลยเป็นถึงนักการเมืองสามารถตรวจสอบและเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้โดยง่าย
จึงควรที่จะกลั่นกรองข้อมูลก่อนที่จะนำคลิปเสียงนั้นมาปราศรัย
แต่จำเลยก็ไมได้ตรวจสอบให้ได้ความจริงก่อน
จึงเป็นการส่อแสดงให้เห็นเจตนาไม่สุจริตของจำเลย ขณะที่การจัดตั้งรัฐบาลโจทก์
ก็ปรากฏว่าการเข้าสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของโจทก์เป็นไปตามวิถีทางในระบอบประชาธิปไตยและหลักเกณฑ์ของรัฐธรรมนูญ
ฯ เหมือนกับการดำรงตำแหน่งของนายสมัคร สุนทรเวช และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์
ดังนั้นการกล่าวปราศรัยของจำเลย จึงเป็นการใช้ถ้อยคำด้วยข้อความอันเป็นเท็จ
ซึ่งจำเลยก็ได้ตอบคำถามค้านของทนายความว่า เคยนำประชาชน
เอาเลือดไปเทที่หน้าบ้านโจทก์ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการปลุกปั่น
ยุยงให้ประชาชนที่ได้ฟังเกิดความเกลียดชังในตัวโจทก์ ไม่ยอมรับการเป็นนายกรัฐมนตรี
จนมีการชุมนุมเรียกร้องให้โจทก์ลาออกจากตำแน่งหรือยุบสภา กระทั่งเหตุการณ์บานปลายจนเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง
และเป็นการมุ่งหวังให้เกิดผลในทางการเมืองที่เป็นประโยชน์กับพรรคการเมืองของจำเลยเอง
ไม่ใช่การแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต
จึงพิพากษาว่า
จำเลยกระทำความผิดหลายกรรม ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ให้จำคุกจำเลย 2
กระทงๆ 6 เดือน รวมจำคุก 12 เดือน
ซึ่งพฤติการณ์ของจำเลยมีการปราศรัยพาดพิงถึงสถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นที่รักของประชาชนไทย
จึงไม่มีเหตุให้รอการลงโทษ และให้จำเลยโฆษณาคำพิพากษาย่อใน นสพ.มติชน และเดลินิวส์
เป็นเวลา 7 วันติดต่อกันโดยให้จำเลย เป็นผู้ชำระค่าโฆษณา
ภายหลังทนายความ
ได้นำหลักทรัพย์เป็นเงินสด จำนวน 100,000 บาท
ยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราวระหว่างยื่นอุทธรณ์สู้คดีต่อไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น