วันอาทิตย์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2553
Cambodia, Thailand agree to cooperate on seven issues at 7th GBC meeting
The agreement was made following the end of the seventh General Border Committee (GBC) meeting co-chaired by Thai Defence Minister Gen Prawit Wongsuwan and his Cambodian counterpart Gen Tea Banh. The meeting was held in Thailand's eastern resort of Pattaya.
Both men told a press conference after the 20-minute meeting ended that seven major issues were agreed at the meeting.
Improved cooperation will take place by giving easier access to the nationals of both countries to cross the border; labour cooperation; exchanging information; demining and destroying landmines which have been planted along the Thai-Cambodian border; maritime safety; reducing tensions through negotiations and opposing terrorism; and cooperation on trade, agriculture, public health, tourism, environment, education, religion and culture.
The two countries have been locked in a troop standoff at their disputed border since July 2008, when the ancient Preah Vihear temple was granted UNESCO World Heritage status.
The World Court ruled in 1962 that the temple belonged to Cambodia, although its main entrance lies in Thailand. The exact boundary through the surrounding grounds remains in dispute, with occasional military skirmishes claiming a number of lives.
Gen Tea Banh, also Cambodia’s deputy prime minister, was rushed to a hospital immediately for treatment of cholecystitis after the press conference ended.
The Cambodian official began suffering pain after playing a round of friendship golf on Friday.
UDD to honor taxi driver who opposed coup
Nyamthong Praiwan Model / Photo by JJ Sathon |
The United Front of Democracy against Dictatorship (UDD), led by Mr. Somyos Prueksakasemsuk (สมยศ พฤกษาเกษมสุข), handed a letter to Deputy House Speaker Colonel Apiwan Wiriyachai (อภิวันท์ วิริยะชัย) requesting the House of Representatives to honor the taxi driver Mr. Nuamthong Praiwan, who rammed his car into a tank parked at the Royal Plaza on Sept 30, 2006, and committed suicide later on by hanging himself.
Therefore, Mr. Praiwan should be honored as a hero for his fight for democracy and opposition against Coup d’état, while requesting October 30 of every year to be commemorated as the “National Against Coup d’état” day.
Suthep wins Surat Thani’s Constituency 1 by-election
Secretary-general of the Democrat Suthep Thuagsuban received a total of 148,608 votes in the constituency 1's by-election held yesterday, whereas Voravut Vichaidit, from the opposition Pheu Thai Party managed to pick up 21,837 votes, way more than he had expected, according to an unofficial result of the vote count.
There were 2481 invalid ballots and 12,060 people decided to go for neither candidate.
Having been informed of the unofficial result, Democrat heavyweight Suthep Thuangsuban came out and thanked his supporters who had turned out in droves despite the poor weather, adding that the poll showed that People still had faith in democracy.
Mr. Voravut Vichaidit said he accepted the results and respected the decision of the people; he also thanked all his supporters.
There have been no complaints of irregularities except for few minor problems in relation to name list given some eligible voters' names have been missing from the list.
17th ASEAN Summit successfully ended
Prime Minister Abhisit Vejjajiva said of the meeting with 3 dialogue partners: China, Korea, and Japan that the panels have determined to push forward the cooperation of ASEAN plus 3 by urging member countries' finance ministries to closely cooperate in the regional macroeconomic policy. Free trade areas in the region should also be promoted help stimulate the bloc's economy in the wake of economic crisis.
Additionally, New Zealand Prime Minister John Key has also expressed his sympathy for Thailand’s floods and expected the country to get back to normal as soon as possible. Mr Key has also expressed his country's interest in joining the ASEAN market, given economic growth in the region is expected.
Meanwhile, bilateral meetings with other dialogue partners including India, Australia and Russia, have been considered successful. The 17th ASEAN Summit as well as the 5th East Asia conference have all ended in success.
ภาพบรรยากาศ ( หน้าไทยรัฐ )งานจุดเทียนรำลึกถึงวีรบุรุษ ปชต ลุงนวมทอง ไพรวัลย์
ติดตามภาพทั้งหมดได้ที่>>>>>>>>>>> http://picasaweb.google.com/105308507656272659683/XYuqAC#
ฮาโลวีนสยอง! รถตู้หล่นทางด่วน ดับ8ศพ
"รำลึก นวมทอง ไพรวัลย์" จาก อนุสรณ์สถาน14ตุลา ถ่ายทอดโดยระบบ 3G
พท.หนุนรัฐฯใช้ไอเดีย "ทักษิณ" แก้ปัญหา
รายงานสถานการณ์อุทกภัยระหว่างวันที่ 10 - 29 ตุลาคม 2553 มีพื้นที่ประสบภัย 38 จังหวัด 331 อำเภอ 2,398 ตำบล 22,965 หมู่บ้าน ราษฎรได้รับความเดือดร้อน 1,574,182 ครัวเรือน 5,011,046 คน พื้นที่การเกษตรที่คาดว่าจะเสียหาย 4,001,701 ไร่
ขณะนี้สถานการณ์อุทกภัยได้คลี่คลายแล้ว 16 จังหวัด ที่ ได้แก่ พิจิตร เพชรบูรณ์ ระยอง จันทบุรี ตราด ตาก ชลบุรี ลำพูน เชียงใหม่ สระแก้ว นครนายก กำแพงเพชร พิษณุโลก หนองบัวลำภู ปราบุรีจีน และสมุทรปราการ และยังคงสถานการณ์อุทกภัยอีก 22 จังหวัด 222 อำเภอ 1,686 ตำบล 14,297 หมู่บ้าน 1,139,280 ครัวเรือน 3,614,873 คน ได้แก่ นครสวรรค์ อุทัยธานี นครราชสีมา ชัยภูมิ ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ ขอนแก่น กาฬสินธุ์ มหาสารคาม อุบลราชธานี หนองบัวลำภู ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง สุพรรณบุรี พระนครศรีอยุธยา ลพบุรี สระบุรี นนทบุรี ปทุมธานี นครปฐม และฉะเชิงเทรา ทั้งนี้ ผู้ประสบอุทกภัยสามารถติดต่อขอความช่วยเหลือได้ทางสายด่วนนิรภัย 1784 ตลอด 24 ชั่วโมง
ด้านนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวภายหลังประชุมศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาอุทกภัย ด้านการแพทย์และสาธารณสุข (วอร์รูม สธ.) ว่า ล่าสุด มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม 7 ราย รวมเป็น 101 ราย ในจำนวนนี้มี 90 ราย ที่จมน้ำตาย ส่วนอีก 11 ราย ต้องตรวจสอบอีกครั้งว่าเกิดจากสาเหตุใด และว่า ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายนนี้เป็นต้นไป จะหามาตรการควบคุมโรคไข้หวัด เพื่อป้องกันการแพร่ระบาด
เพื่อไทย วอนรัฐ รับฟังความเห็น "ทักษิณ" เพื่อช่วยน้ำท่วมเร่งด่วนกว่านี้
นายพายัพ ชินวัตร ประธานภาคอีสาน พท.กล่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯเป็นห่วงปัญหาน้ำท่วม และให้นโยบายแก้ปัญหา 5 ข้อ ซึ่งวันที่ 1 พฤศจิกายน จะนำแผนระยะกลางและระยะยาวเข้าที่ประชุมเพื่อให้ ส.ส.สนับสนุนแนวคิด พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนโยบายแก้น้ำท่วมด้วย
วันเสาร์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2553
ต้นฉบับ ดร.วิบูลย์ แช่มชื่น สัมภาษณ์ โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ฉบับเต็ม (รวมส่วนที่ไม่ได้ออกอากาศ)
Robert Amsterdam from the International Law Firm Amsterdam & Peroff which represents former Prime minister Thaksin Shinawatra, yesterday gave an exclusive interview with MVTV's Wiboon Shamsheun via video link. Bangkok, Thailand. 29/10/2010
วันศุกร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2553
เปิดตาราง "รถประจำตำแหน่ง"ก.ก.5 องค์กรอิสระกว่า100ล.
ศาลรัฐธรรมนูญ 13 คัน แบ่งเป็นครั้งแรกประจำตำแหน่งประธานศาลรัฐธรรมนูญและรถประจำตำแหน่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ จำนวน 3 คัน ในราคา 9.5 ล้านบาท จากห้างหุ้นส่วนจำกัด พันทวี ออโต้ มาสเตอร์ เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2548 ครั้งที่สองเมื่อวันที่ 11 ม.ค. 2548 ประจำตำแหน่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ (รถยนต์LEXURES300) จำนวน 10 คัน ราคา 30 ล้านบาท จากบริษัท เล็กซ์ซัส กรุงเทพ จำกัด
ยังมีรถตู้ยี่ห้อ Volkswagen รุ่น Caravelle 2.5 TDI แบบ 11 ที่นั่ง สีบรอนซ์เงิน (8E8E) จำนวน 3 คัน โดย 2 คันแรก ราคา 5,980,000 บาท เมื่อวันที่ 27 ก.พ. 2549 จาก บริษัท ยนตรกิจอินเตอร์เซลส์ จำกัด (ตระกูลลีนุตพงษ์ เจ้าของ) และ ซื้อเพิ่มอีก 1 คัน เมื่อวันที่ 7 มิ.ย. 2549 ราคา 2,990,000 บาท จากบริษัทเดียวกัน
คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ จากการตรวจสอบพบว่า จัดซื้อยี่ห้อ Mercedes Benz 5 คัน แบ่งเป็นจัดซื้อ เมื่อวันที่ 8 ก.ย. 2552 1 คัน ราคา 3,690,000 บาท จากบริษัท เบนซ์ บีเคเค วิภาวดี จำกัด จัดซื้อเมื่อวันที่ 28 ก.ย. 2552 จำนวน 4 คัน ราคา 13,198,000 บาท (ข้อมูลจากการชี้แจงของกรรมการสิทธิมนุษยชน) จาก บริษัท เบนซ์ บีเคเค กรุ๊ป จำกัด
อีก 2 คัน ยี่ห้อ BMW ราคา 3,250,000 บาท จากบริษัท มิลเลนเนียม จำกัด เมื่อวันที่ 28 ก.ย. 2552 และ ยี่ห้อ Toyota Vellire 2.4 ราคา 3,299,500 บาท จาก บริษัท TSL Auto Corporatiom จำกัด (ที เอส แอล ออโต้ คอร์ปอเรชั่น) เมื่อวันที่ 28 ก.ย. 2552
รวม 7 คัน
คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในช่วงปี 2547 มีการจัดซื้อ 3 คัน เป็นรถตู้ ยี่ห้อ VOLKSWAGEN CARAVELLE 5 ราคารวม 9,570,000 บาทจาก บริษัท ยนตรกิจอินเตอร์เซลส์ จำกัด เมื่อ 30 ก.ค. 2547
สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จัดซื้อในช่วงเดียวกัน จำนวน 2 คัน ราคารวม 7,300,000 บาท จาก บริษัท เบนซ์ บีเคเค กรุ๊ป จำกัด เมื่อวันที่ 18 มี.ค. 2547
สำหรับ ศาลปกครอง ยี่ห้อ Mercedes - Benz จำนวน 2 คัน ราคารวม 5,880,000 บาท จาก บริษัท เบนซ์ บีเคเค วิภาวดี จำกัด เมื่อวันที่ 10 พ.ค. 2549
นอกจากนี้ยังซื้อรถยนต์ประจำตำแหน่งในระดับราคาลรองลงมาอีก 7 คัน ได้แก่ ยี่ห้อVOLKSWAGEN รุ่นพาสสาทโฮลายน์ จำนวน 1 คัน เป็นเงิน 1,450,000 บาท จากบริษัท ยนตรกิจอินเตอร์เซลส์ จำกัด เมื่อวันที่ 8 ม.ค. 2544
รถยนต์ประจำตำแหน่ง ยี่ห้อนิสสันเซฟิโร่ รุ่น 2.0L (EXE) จำนวน 3 คัน ราคา 3,294,000 บาท จากบริษัท สยามกลการและนิสสันเซลส์ จำกัด เมื่อวันที่ 9 ม.ค. 2544, ยี่ห้อ โตโยต้า camry 2.oe จำนวน 2 คัน ราคา 2,310,000 บาท จาก บริษัท เจริญไทยมอเตอร์เซลส์ จำกัด เมื่อวันที่ 10 เม.ย. 2546 และยี่ห้อนิสสัน เซฟิโร่ ราคา 1,200,000 บาท จาก บริษัท สยามนิสสัน ออโตโมบิล จำกัด เมื่อวันที่ 1 ก.ค. 2546
จากข้อมูลเท่ากับ เลกซ์ซัส , Mercedes Benz และ Volkswagen ได้รับความนิยมมากสุด
ดีลเลอร์ที่ได้รับการจัดซื้อมากสุดคือ บริษัท เบนซ์ บีเคเค วิภาวดี จำกัด จากศาลปกครอง , กกต. และกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
รวม 5 องค์กรกว่า 100 ล้านบาท
ขอบคุณมติชนออนไลน์
พันธมิตรฯเตรียมป่วน นัด2พ.ย.ถล่มรัฐบาล
28 ต.ค. 53 : นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มพันธมิตรประชาเพื่อประชาธิปไตย(พธม.) เเถลงการณ์ประณามรัฐบาลกรณีนำเรื่องบันทึกผลการประชุมของคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) ทั้ง 3 ครั้ง เข้าสู่การประชุมของสภา โดยปล่อยให้มีการอภิปราย เเละกำหนดวาระที่จะลงมติการประชุมในวันที่ 2 พ.ย.นี้ กลุ่มพันธมิตรเห็นว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา รัฐบาลชุดปัจจุบันไม่สามารถเเก้ไขปัญหา เเผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 2 เเสน ซึ่งจัดทำโดยฝรั่งเศส เเต่เพียงฝ่ายเดียวได้ เเละไม่สามารถเเก้ปัญหาการรุกล้ำ เเละยึดครองดินเเดนไทยได้
ดังนั้น จึงขอเรียกร้องต่อสมาชิกรัฐสภา ว่า อย่าได้ลงมติรับรองบันทึกผลการประชุมดังกล่าว พร้อมขอให้ประชาชนคนไทยทุกหมู่เหล่าออกมาชุมนุมเพื่อคัดค้านการลงมติดังกล่าวในเช้าวันที่ 2 พ.ย.ที่หน้ารัฐสภา ในเวลา 08.00 น.เป็นต้นไป
นอกจากนี้ กลุ่มพันธมิตร ยังได้เรียกร้องขอให้ประชาชนทั้งประเทศ ยื่นหนังสือ โทรศัพท์ หรือส่งข้อความผ่านโทรสาร อีเมลล์ เฟสบุ๊ก เเละชุมนุมหน้าบ้าน หรือสำนักงานของสมาชิกสภาผู้เเทนราษฎร หรือสมาชิกวุฒิสภา ในเขตพื้นที่บ้าน เพื่อเรียกร้องให้ประธานสภาหยุดการขายชาติ
ด้านนายสนธิ ลิ้มทองกุล เเกนนำพันธมิตรฯ กล่าวว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จะต้องทบทวนบทบาทของนายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ ที่เลิกจะยืนข้างข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศ ถ้ารัฐสภาผ่านร่างข้อตกลง ของกรรมาธิการเขตเเดนร่วมไทย-กัมพูชา ก็จะทำให้กัมพูชา ยึดเเผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ2 แสน ซึ่งจะทำให้ไทยไม่สามารถเรื่องร้องใช้สิทธิหลักสันปันน้ำได้
เวียดนามเปิดประชุมอาเซียนครั้งที่17
โดยการประชุมสุดยอดของผู้นำ 10 ชาติสมาชิกสมาคมอาเซียน ยังจะขยายไปเป็นการประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก ที่จะมีผู้นำอีก 6 ชาติ มาเข้าร่วมด้วยในวันเสาร์นี้ ร่วมกับออสเตรเลีย จีน อินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้และนิวซีแลนด์
ขณะที่ นายกรัฐมนตรี เหงียน ตัน ดุง ของเวียดนาม เป็นเจ้าภาพต้อนรับผู้นำจากชาติต่างๆที่เดินทางมาร่วมประชุม และกล่าวเปิดงานว่า วาระการประชุมที่สำคัญ จะเน้นเรื่องความมั่นคงในภูมิภาค การฟื้นตัวของเศรษฐกิจในภูมิภาค และความคืบหน้าในการสร้างประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน
ทั้งนี้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้หารือทวิภาคีร่วมกับนายเบนิโย ไซมอน นอยนอย อาควิโน ประธานาธิบดีสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ ในโอกาสที่เดินทางไปร่วมประชุมสุดผู้นำอาเซียนที่เวียดนาม โดยประธานาธิบดีฟิลิปปินส์กล่าวขอบคุณไทยที่แสดงความห่วงใยและให้ความช่วยเหลือฟิลิปปินส์ในยามประสบภัยพิบัติมาโดยตลอด ขณะที่นักวิเคราะห์การเมืองในไทยระบุว่า คำชื่นชมดังกล่าวเป็นการกล่าวเหน็บแนบรัฐบาลอภิสิทธิ์ที่ดูแลและแก้ปัญหาอุทกภัยในประเทศไทยท่ที่เป็นไปอย่างล่าช้า
วันพฤหัสบดีที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2553
องค์กรตุลาการกับประชาธิปไตย
องค์กรตุลาการกับประชาธิปไตย*
(ขอขอบคุณ อาจารย์ปิยบุตร แสงกนกกุล) รัฐใดที่ประกาศตนเป็นนิติรัฐ ย่อมหลีกหนีไม่พ้นที่จะยอมรับบทบาทขององค์กรตุลาการ ในฐานะเป็นกุญแจสำคัญในการควบคุมการใช้อำนาจของฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารไม่ให้เป็นไปตามอำเภอใจ การควบคุมฝ่ายบริหาร ก็ได้แก่ การควบคุมการความชอบด้วยกฎหมายของการกระทำของฝ่ายปกครอง ในขณะที่การควบคุมฝ่ายนิติบัญญัติ ก็ได้แก่ การควบคุมความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมายที่ตราขึ้นโดยรัฐสภา องค์กรตุลาการในนิติรัฐสมัยใหม่จึงมีบทบาทสำคัญ ไม่เพียงแต่บทบาทในการพิทักษ์ความชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น แต่ยังรวมถึงพันธกิจในการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนจากการใช้อำนาจโดยมิชอบของรัฐ และการปกปักรักษาประชาธิปไตยอีกด้วย อย่างไรก็ตาม ด้วยบทบาทอันกว้างขวางขององค์กรตุลาการเช่นนี้ นำมาซึ่งความขัดแย้งกันเองกับคำว่าประชาธิปไตย กล่าวคือ ด้านหนึ่ง นิติรัฐ-ประชาธิปไตยแบบเสรีนิยม ก็เรียกร้องให้องค์กรตุลาการเข้ามามีบทบาทในการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน และควบคุมไม่ให้เกิดการปกครองที่เสียงข้างมากใช้อำนาจไปตามอำเภอใจ ในขณะที่อีกด้านหนึ่งนั้น เมื่อองค์กรตุลาการเข้าไปควบคุมการใช้อำนาจรัฐเข้า ก็เกิดการเผชิญหน้ากันกับองค์กรที่มีฐานความชอบธรรมทางการเมืองอย่างรัฐสภาและรัฐบาลซึ่งมาจากการเลือกตั้งของประชาชน ในขณะที่องค์กรตุลาการปราศจากความชอบธรรมทางการเมืองเช่นว่า ความขัดแย้งดังกล่าว จะมีวิธีการประสานกันอย่างไร? แน่นอนที่สุด หากเราตัดอำนาจการตรวจสอบขององค์กรตุลาการออกไป นิติรัฐนั้นก็กลายเป็นนิติรัฐที่ไม่สมประกอบ เพราะปราศจากซึ่งองค์กรที่เป็นกลางและอิสระทำหน้าที่ตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ เช่นกัน หากแก้ไขให้องค์กรตุลาการมาจากการเลือกตั้งของประชาชน ก็คงไม่เหมาะสมเป็นแน่ เพราะ จะทำให้องค์กรตุลาการสูญสิ้นความอิสระไปเนื่องจากการปฏิบัติหน้าที่ขององค์กรตุลาการต้องคำนึงถึงคะแนนนิยมตลอดเวลา วิธีเหล่านี้จึงเป็นวิธีที่ไม่ถูกต้อง วิธีที่จะพอแก้ไขปัญหาดังกล่าวนี้ได้ คือ การจัดวางตำแหน่งแห่งที่ขององค์กรตุลาการและการดำรงตนขององค์กรตุลาการให้สอดคล้องกับนิติรัฐ-ประชาธิปไตย ในรายละเอียด ผู้เขียนขอแบ่งเป็น ๖ ประการ ดังนี้ ประการแรก ความเป็นอิสระขององค์กรตุลาการ โดยทั่วไป รัฐธรรมนูญในรัฐเสรีประชาธิปไตยต่างรับรองความเป็นอิสระขององค์กรตุลาการเอาไว้ เช่น การจัดตั้งศาลต้องทำโดยกฎหมายที่ตราขึ้นโดยรัฐสภา การจัดตั้งศาลเฉพาะเพื่อคดีใดคดีหนึ่งไม่อาจกระทำได้ การโยกย้ายผู้พิพาษาต้องได้รับความยินยอมจากผู้พิพากษานั้นด้วย การแต่งตั้งและโยกย้ายตลอดจนการดำเนินการทางวินัยเป็นอำนาจของคณะกรรมการตุลาการ การบริหารงบประมาณของศาลเป็นไปอย่างอิสระ เงินเดือนและเงินประจำตำแหน่งของผู้พิพากษาสูงกว่าอาชีพอื่นๆ เป็นต้น อาจสงสัยกันว่าความเป็นอิสระของผู้พิพากษานี้ปราศจากความรับผิดชอบใดๆเลยหรือ? แน่นอน ในระบอบประชาธิปไตยย่อมไม่มีองค์กรผู้ใช้อำนาจรัฐใดที่ใช้อำนาจโดยปราศจากความรับผิดชอบ แต่ความรับผิดชอบขององค์กรตุลาการนั้นแตกต่างจากองค์กรนิติบัญญัติและบริหารซึ่งเป็นองค์กรทางการเมืองโดยแท้ กล่าวคือ องค์กรตุลาการไม่อาจถูกฝ่ายการเมืองแต่งตั้งโยกย้ายหรืออภิปรายไม่ไว้วางใจ และตำแหน่งผู้พิพากษาไม่ได้มาโดยการเลือกตั้งของประชาชน ตรงกันข้าม องค์กรตุลาการรับผิดชอบการปฏิบัติหน้าที่ของตนเองโดยผ่านเหตุผลประกอบคำพิพากษานั่นเอง ด้วยการให้สังคมได้มีโอกาสวิจารณ์คำพิพากษาอย่างเต็มที่ บางครั้งอาจมีกรณีตอบโต้การใช้อำนาจระหว่างองค์กรนิติบัญญัติกับองค์กรตุลาการ หรือองค์กรบริหารกับองค์กรตุลาการ เช่น ฝ่ายนิติบัญญัติอาจตรากฎหมายที่มีผลเป็นการ “ลบ” หลักการที่คำพิพากษาของศาลได้วางบรรทัดฐานเอาไว้ หรือในฝรั่งเศส สมัยวิกฤติแอลจีเรีย ประธานาธิบดีเดอโกลล์และรัฐบาลเร่งผลักดันรัฐบัญญัติจัดตั้งศาลทหารพิเศษในดินแดนแอลจีเรียเป็นการเฉพาะ ภายหลังจากที่ศาลปกครองสูงสุดได้เพิกถอนรัฐกำหนดจัดตั้งศาลทหารพิเศษเพียงไม่นาน (โปรดดูบทความของผู้เขียน, ฝ่ายการเมืองปะทะฝ่ายตุลาการ : ประสบการณ์จากฝรั่งเศส, เผยแพร่ครั้งแรกในประชาชาติธุรกิจ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๔๙ หรือดูได้ใน (http://www.onopen.com/2006/01/822) ในเรื่องความประพฤติส่วนตัวหรือการทุจริต ก็มีคณะกรรมการตุลาการเป็นผู้ดูแลและมีจริยธรรมวิชาชีพกำกับไว้ หรืออาจมีกระบวนการถอดถอนออกจากตำแหน่งได้ ประการที่สอง ความเป็นกลางขององค์กรตุลาการและความเป็นภาววิสัยของคำพิพากษา องค์กรตุลาการต้องดำรงตนอย่างเป็นกลางและปราศจากอคติ ในกระบวนพิจารณาคดี ต้องให้โอกาสคู่ความทุกฝ่ายอย่างเท่าเทียมกัน ในกรณีที่ผู้พิพากษามีส่วนได้เสียกับประเด็นแห่งคดีที่ตนจะพิจารณา ผู้พิพากษานั้นต้องถอนตัวออกจากการพิจารณาคดี ดังสุภาษิตในภาษาละตินที่ว่า ไม่มีใครสามารถตัดสินคดีความที่เกี่ยวข้องกับตนเอง (Nemo judex in re sua) ด้วยเหตุนี้ จึงเห็นกันว่าผู้พิพากษาทั้งหลายไม่ควรเข้าไป “เล่น” การเมืองด้วยการไปดำรงตำแหน่งในรัฐบาล ไปร่างรัฐธรรมนูญ ไปร่างกฎหมาย หากเข้าไปแล้วก็ไม่ควรกลับมาเป็นผู้พิพากษาใหม่ เพราะในวันข้างหน้าเป็นไปได้ว่า อาจมีประเด็นแห่งคดีเกี่ยวกับเรื่องที่ตนเคยเข้าไปเกี่ยวข้อง ความเป็นกลางของผู้พิพากษาจะสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นภาววิสัยของคำพิพากษา เหตุผลประกอบคำพิพากษาเกิดจากการพิจารณาข้อเท็จจริงประกอบกับข้อกฎหมาย มิใช่นำรสนิยมทางการเมืองส่วนตัว ความเชื่อทางศาสนา ความนิยมชมชอบส่วนตัวเข้ามาเป็นปัจจัยประกอบการตัดสิน คำพิพากษาต้องไม่เกิดจากการตั้งธงคำตอบไว้ล่วงหน้า จากนั้นจึงค่อยหาเหตุผลเพื่อนำไปสู่ธงคำตอบนั้น ความเป็นภาววิสัยของคำพิพากษาย่อมทำให้บุคคลซึ่งแม้ไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษา เหตุผลของคำพิพากษา หรือผลของคำพิพากษา แต่บุคคลนั้นก็ยังคงยอมรับนับถือคำพิพากษาอยู่ดี คำพิพากษาต้องผ่านการกลั่นกรองและพิจารณาอย่างลึกซึ้งของผู้พิพากษา โดยใช้เหตุผลทางกฎหมายประกอบ คำพิพากษาต้องสนับสนุนความชอบด้วยกฎหมายและความมั่นคงแน่นอนและชัดเจนของกฎหมายไปพร้อมๆกัน ที่ว่าต้องสนับสนุนความชอบด้วยกฎหมาย ก็เพื่อสร้างความสมเหตุสมผลทางกฎหมายและการเคารพกฎหมายตามแนวทางกฎหมายเป็นใหญ่ของหลักนิติรัฐ ส่วนที่ว่าต้องสนับสนุนความมั่นคงแน่นอนและชัดเจนของกฎหมาย ก็เพื่อสร้างความเชื่อไว้วางใจต่อระบบกฎหมาย ความสม่ำเสมอต่อเนื่องของกฎเกณฑ์ และบุคคลสามารถคาดการณ์ได้ว่าการกระทำของตนและผู้อื่นจะชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ บางกรณีทั้งสองเรื่องนี้ก็แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงจนทำให้การหาจุดสมดุลของสองเรื่องนี้เป็นไปโดยยากและอาจต้องเอียงไปในทางใดทางหนึ่งมากกว่า ซึ่งเป็นหน้าที่ของผู้พิพากษาที่ต้องใช้เหตุผลมาอธิบายให้ได้ว่าเหตุใดจึงตัดสินใจรักษาความชอบด้วยกฎหมายมากกว่า และมีวิธีการเยียวยาความมั่นคงแน่นอนและชัดเจนของกฎหมายอย่างไร หรือเหตุใดจึงตัดสินใจรักษาความมั่นคงแน่นอนและชัดเจนของกฎหมายมากกว่า และมีวิธีเยียวยาความชอบด้วยกฎหมายอย่างไร ด้วยเหตุผลดังกล่าว คำพิพากษาที่ให้ใช้กฎหมายย้อนหลังอันเป็นผลร้ายแก่บุคคลโดยไม่ได้มีการอธิบายเหตุผลทางกฎหมายเพียงพอ จึงเป็นคำพิพากษาที่ไร้มาตรฐานและไม่สมเหตุสมผล ประการที่สาม ความเชื่อถือไว้วางใจของสังคมต่อองค์กรตุลาการ ความน่าเชื่อถือและความศรัทธาต่อศาล ทั้งในแง่ตัวองค์กรและตัวบุคคล หาได้เกิดจากบทบัญญัติแห่งกฎหมายเกี่ยวกับการ “หมิ่น” ศาลหรือละเมิดอำนาจศาล หรือการอ้างว่าผู้พิพากษาตัดสิน “ในพระปรมาภิไธย” ไม่ ตรงกันข้าม เกิดจากความสมเหตุสมผลในเหตุผลประกอบคำพิพากษา ความเป็นภาววิสัยของเหตุผลประกอบคำพิพากษา ความเป็นอิสระและการดำรงตนอย่างปราศจากอคติของผู้พิพากษา คำพิพากษาจะมีคุณค่า นอกจากเพราะกฎหมายกำหนดให้คำพิพากษามีค่าบังคับแล้ว ยังต้องอาศัยความเชื่อถือของประชาชนประกอบด้วย จริงอยู่ เป็นไปไม่ได้ที่จะให้ประชาชนทุกคนเห็นด้วยกับเนื้อหาของคำพิพากษาทั้งหมด แต่อย่างน้อยวิญญูชนพิจารณาดูแล้ว ก็ต้องยอมรับในเหตุผลที่ประกอบคำพิพากษานั้น และเห็นว่าคำพิพากษานั้นมีคุณภาพได้มาตรฐาน การสร้างความเชื่อถือไว้วางใจของสังคมต่อผู้พิพากษา ไม่ได้หมายความว่าผู้พิพากษาต้องทำตนเป็นที่นิยมของประชาชน ไม่ได้หมายความว่าผู้พิพากษาต้องยอมกระทำการที่ไม่สอดคล้องกับกฎหมายและสามัญสำนึกของตนเพียงเพื่อความพอใจของสาธารณชน ไม่ได้หมายความว่าผู้พิพากษาต้องตัดสินโดยฟังกระแสสังคม นี่เรียกว่า ความนิยม (Popularité) ซึ่งตรงกันข้ามกับ ความเชื่อถือไว้วางใจ (Confiance) ความเชื่อถือไว้วางใจนั้น เป็นความเชื่อถือที่มีต่อความเป็นอิสระของผู้พิพากษา ความเป็นกลางของผู้พิพากษา ความยุติธรรมของผู้พิพากษา และความเคารพในจริยธรรมวิชาชีพของผู้พิพากษา นอกจากนี้ ความเชื่อถือไว้วางใจในตัวผู้พิพากษา ยังอาจเกิดจากวัตรปฏิบัติของผู้พิพากษาเอง เช่น การรู้ถึงขอบเขตอำนาจและข้อจำกัด การยอมรับความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นได้ และการอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่หยิ่งทระนงว่าตนยิ่งใหญ่ ไม่อหังการ-มมังการ เพราะ ”หัวโขน” ผู้พิพากษา หรือเพราะคำอ้างที่ว่าตนกระทำการในนามกษัตริย์ ประการที่สี่ การตระหนักถึงขอบเขตอำนาจของตนเอง นิติรัฐ-ประชาธิปไตยเรียกร้องเรื่องการแบ่งแยกอำนาจให้เกิดดุลยภาพระหว่างอำนาจรัฐในแขนงต่างๆ องค์กรตุลาการเองก็เช่นกัน ต้องตระหนักอยู่เสมอว่าตนเองมีอำนาจ “เชิงรับ” ศาลไม่อาจควบคุมองค์กรฝ่ายบริหารได้ในทุกกรณี ตรงกันข้าม เรื่องจะขึ้นไปสู่ศาลได้ก็ต่อเมื่อมีการริเริ่มคดีโดยบุคคลที่เกี่ยวข้องเสียก่อน และศาลไม่อาจลงมาหยิบยกเรื่องใดขึ้นพิจารณาได้ด้วยตนเอง เราไม่อาจปฏิเสธได้ว่าองค์กรตุลาการเป็นผู้เล่นหลักคนหนึ่งในชีวิตทางการเมืองของรัฐ (Acteur politique) อย่างไรเสียองค์กรตุลาการก็ต้องมีบทบาทางการเมือง แต่บทบาททางการเมืองเช่นว่านั้น ต้องกระทำผ่านคำพิพากษาและภายใต้ความเป็นเหตุเป็นผลตามกฎหมายเท่านั้น อนึ่ง แม้องค์กรตุลาการอาจเข้าแทรกแซงทางการเมืองโดยผ่านคำพิพากษาของตน แต่องค์กรตุลาการต้องคำนึงถึงหลักการแบ่งแยกอำนาจและการรักษาดุลยภาพระหว่างอำนาจไว้เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องบางเรื่องเกี่ยวพันอย่างลึกซึ้งกับแนวนโยบายของรัฐบาล หรือเรื่องทางการเมืองโดยแท้ องค์กรตุลาการก็จำต้องสงวนท่าทีและควบคุมการใช้อำนาจของตนเองลง เช่น การยุบสภา การประกาศสงคราม การเลือกนายกรัฐมนตรีและแต่งตั้งรัฐมนตรี ในบางกรณี รัฐบาลอาจดำเนินนโยบายตามที่รณรงค์หาเสียงกับประชาชนไว้ในช่วงเลือกตั้ง เมื่อได้รับเลือกตั้งเข้ามาแล้วจึงเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่ได้รับอาณัติจากประชาชนในการดำเนินนโยบายดังกล่าว ประเด็นปัญหานี้ องค์กรตุลาการอาจเข้าไปควบคุมได้แต่เพียงเฉพาะ “ความชอบด้วยกฎหมาย” ของมาตรการตามนโยบายเท่านั้น องค์กรตุลาการไม่อาจเข้าไปก้าวล่วงถึง “ความเหมาะสม” ของนโยบาย อีกนัยหนึ่ง คือ องค์กรตุลาการต้องใช้ “กฎหมาย” เป็นมาตรวัดนั่นเอง แม้องค์กรตุลาการจะมีอำนาจในการควบคุมฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร และมีอำนาจในการพิพากษาคดีความให้มีผลเป็นที่สุด (res judicata) แต่องค์กรตุลาการก็ไม่ได้มีอำนาจอย่างปราศจากขอบเขต ด้วยธรรมชาติและลักษณะพิเศษขององค์กรตุลาการที่ต้องการความเป็นอิสระทำให้ขาดความเชื่อมโยงกับประชาชนและสังคม แต่องค์กรตุลาการกลับมีอำนาจควบคุมการใช้อำนาจรัฐ กฎหมายจึงต้องออกแบบระบบไม่ให้องค์กรตุลาการใช้อำนาจอย่างไร้ขอบเขตด้วยการวางกลไกวิธีพิจารณาคดี ในขณะเดียวกันองค์กรตุลาการก็ต้องจำกัดการใช้อำนาจของตนเอง ไม่เข้าไปรุกล้ำในเรื่องที่เป็นนโยบายหรือการเมืองโดยแท้ นี่เป็นหลักการพื้นฐานขององค์กรตุลาการในรัฐเสรีประชาธิปไตย ไม่ใช่กระบวนการ “ตุลาการภิวัตน์” ซึ่งแอบอ้างเพื่อนำไปใช้สนับสนุนการเข้าไป “เพ่นพ่าน” ในสนามการเมือง เช่น การร่างรัฐธรรมนูญ การดำรงตำแหน่งในองค์กรเฉพาะกิจเพื่อปราบปรามศัตรู การดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ ตลอดจนการแต่งตั้งบุคคลไปดำรงตำแหน่งสำคัญ ประการที่ห้า คำพิพากษา “สาธารณะ” จริงอยู่ ในทางกฎหมาย คำพิพากษาอาจมีผลผูกพันเฉพาะคู่ความหรืออาจมีผลผูกพันองค์กรผู้ใช้อำนาจรัฐทั้งปวง แต่ในความเป็นจริงแล้ว คำพิพากษามีผลกระทบออกไปในวงกว้าง ไม่ว่าทั้งทางตรงหรือทางอ้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้และตีความกฎเกณฑ์ที่ค่อนข้างเป็นนามธรรมให้เกิดผลเป็นรูปธรรม บทบัญญัติแห่งกฎหมายที่รับรองสิทธิและเสรีภาพหรือวางเงื่อนไขการใช้อำนาจรัฐมักเขียนด้วยถ้อยคำกว้างๆ เปิดโอกาสให้ศาลได้พิจารณาข้อเท็จจริงเป็นรายกรณี การใช้และตีความกฎหมายเหล่านี้โดยศาลผ่านทางคำพิพากษาในแต่ละคดีต่างหากที่ “แปล-ขยาย” ความเหล่านั้นให้มีผลชัดเจนและจับต้องได้ เมื่อศาลได้พิจารณาข้อเท็จจริงที่เหมือนหรือคล้ายคลึงกันซ้ำเข้ามากๆในคดีก่อนๆ ก็กลายเป็นบรรทัดฐานที่ศาลต้องเดินตามในคดีหลัง นอกเสียจากศาลจะมีเหตุผลที่หนักแน่นเพียงพอและรับฟังได้ หรือบริบทแวดล้อมเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างมาก ศาลก็อาจเปลี่ยนแนวจากคำพิพากษาบรรทัดฐานนั้น ลักษณะดังกล่าวนี้เอง ทำให้สำนักคิดกฎหมายสัจนิยม โดยเฉพาะเซอร์ โอลิเวอร์ เวนเดล โฮล์มส์ ถึงกับประกาศว่า “กฎหมายในความเห็นของข้าพเจ้า คือการพยากรณ์ต่อการกระทำของศาลในความเป็นจริง ไม่มีอะไรอื่นเลยนอกจากนี้” ด้วยอานุภาพของการใช้และตีความกฎหมายของศาลดังกล่าว ทำให้คำพิพากษาไม่ได้ส่งผลเฉพาะต่อคดีนั้นเท่านั้น คำพิพากษาจึงไม่ควรมีขึ้นเพียงเพื่อให้ผู้พิพากษาและผู้ที่เกี่ยวข้องในคดีอ่าน ตรงกันข้ามคำพิพากษาต้องพยายามสร้าง “การสื่อสารระหว่างองค์กรตุลาการกับสังคม” ผู้พิพากษาในฐานะเป็นส่วนหนึ่งของประชาธิปไตยต้องตระหนักเสมอว่าการเขียนคำพิพากษานั้น ไม่ได้เขียนอธิบายความและเหตุผลให้แก่คู่ความเท่านั้น แต่เป็นการให้เหตุผลแก่บุคคลทั่วไปด้วย คำพิพากษาที่ดีจึงต้องสามารถให้การศึกษาแก่สังคม นำมาซึ่งการศึกษาค้นคว้า วิพากษ์วิจารณ์ และถกเถียงกันอย่างสร้างสรรค์ทั้งในหมู่นักกฎหมายและบุคคลทั่วไป ในกรณีที่เป็นข้อบกพร่องจากกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ เนื้อหาของคำพิพากษาต้องกระตุ้นเตือนเพื่อนำไปสู่การแก้ไขหรือยกเลิกกฎหมาย คำพิพากษา “สาธารณะ” จึงต้องประกอบไปด้วย ๒ ปัจจัยสำคัญ ปัจจัยแรก การเข้าถึงคำพิพากษาต้องเป็นไปโดยง่าย ภายหลังอ่านคำพิพากษาให้คู่ความฟังแล้ว คำพิพากษาต้องเปิดเผยให้สาธารณชนได้รับทราบ เพื่อให้บุคคลทั่วไปได้มีโอกาสวิจารณ์ ปัจจัยที่สอง ผู้พิพากษาต้องคิดอยู่เสมอว่าการเขียนคำพิพากษานั้นเป็นช่องทางการสื่อสารระหว่างองค์กรตุลาการกับสังคม ไม่ใช่เขียนเพียงเพื่อตัดสินคดีให้แล้วเสร็จไป ประการที่หก การยอมรับคำวิพากษ์วิจารณ์ โดยธรรมชาติขององค์กรตุลาการนั้นเป็นองค์กร “ปิด” และมีจุดเชื่อมโยงกับประชาชนน้อยกว่าองค์กรของรัฐอื่นทั้งนี้เพื่อประกันความเป็นอิสระขององค์กรตุลาการ ลักษณะดังกล่าวอาจนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงให้องค์กรตุลาการกลายเป็น “แดนสนธยา” ได้ง่ายขึ้น เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาดังกล่าว จึงจำเป็นต้องสร้างระบบการวิจารณ์การทำงานของศาล นั่นก็คือ การวิจารณ์คำพิพากษานั่นเอง การลำพองตนของผู้พิพากษาว่าตนปฏิบัติหน้าที่ในนามของกษัตริย์ ตนมีพระราชดำรัสของกษัตริย์ที่สนับสนุนและให้กำลังใจ เป็นอุปสรรคและไม่ส่งเสริมให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์คำพิพากษา และอาจทำให้ผู้พิพากษา “หลง” อำนาจจนละเลยสังคมและไม่ใส่ใจความเห็นขององคาพยพอื่นๆในสังคม เช่นกัน การสงวน “คำพิพากษา” ไว้ให้เฉพาะผู้พิพากษา ทนายความ หรือคู่ความก็ดี การพยายามสร้างความเชื่อที่ว่า คำพิพากษาเป็นเรื่องกฎหมาย มีแต่นักกฎหมายด้วยกันเท่านั้นที่เข้าใจก็ดี ล้วนแล้วแต่เป็นการสร้างทัศนคติที่คับแคบในหมู่นักกฎหมายว่าในโลกนี้มีแต่นักกฎหมายที่เป็นใหญ่ และผูกขาด “ความจริง” ในนามของกฎหมาย ในทางกลับกัน การเปิดโอกาสให้บุคคลในวงการกฎหมาย สื่อมวลชน บุคคลทั่วไปได้วิพากษ์วิจารณ์และถกเถียงอย่างสร้างสรรค์ต่อคำพิพากษานั้น ย่อมทำให้คำพิพากษาและศาลได้การยอมรับนับถือ และสร้างความชอบธรรมทางประชาธิปไตยให้กับคำพิพากษาและผู้พิพากษานั้นด้วย การวิจารณ์คำพิพากษาโดยสาธารณชนยังช่วยสร้างกระบวนการประชาธิปไตยให้เข้มแข็งและลึกซึ้งขึ้นตามแนวทาง “ประชาธิปไตยแบบปรึกษาหารือ” ซึ่งเป็นที่ยอมรับในปัจจุบันและขยายต่อจาก “ประชาธิปไตยทางตรง” “ประชาธิปไตยทางผู้แทน” และ “ประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม” ด้วยเหตุนี้ การ “ใช้” หรือการ “ข่มขู่ว่าจะใช้” กฎหมายที่มีบทลงโทษเกี่ยวกับข้อหา “หมิ่นศาล” หรือ “ละเมิดอำนาจศาล” ต่อคนที่วิจารณ์การปฏิบัติหน้าที่ของผู้พิพากษา จึงล้าสมัยและเป็นอุปสรรคต่อความเป็นประชาธิปไตยขององค์กรตุลาการ
..........................
ในรัฐเสรีประชาธิปไตยสมัยใหม่ องค์กรตุลาการมีพันธกิจ ๔ เรื่องหลักๆ ได้แก่ การวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาท การควบคุมความชอบด้วยกฎหมาย การสร้างกฎเกณฑ์ทางกฎหมายผ่านทางการใช้และตีความกฎหมายในคำพิพากษา และการเป็นผู้เล่นคนหนึ่งในชีวิตทางการเมืองของรัฐ การปฏิบัติหน้าที่เพื่อให้บรรลุพันธกิจทั้งสี่นี้ ต้องเป็นไปโดยสอดคล้องกับหลักนิติรัฐและหลักประชาธิปไตยอันเป็นคุณค่าพื้นฐานที่รัฐเสรีประชาธิปไตยยึดถือ แนวทางทั้ง ๖ ประการนี้ เป็นการสนับสนุนองค์กรตุลาการให้ปฏิบัติหน้าที่สอดคล้องกับหลักนิติรัฐและหลักประชาธิปไตย ไม่ใช่เป็นการปฏิเสธบทบาทขององค์กรตุลาการในการตัดสินคดีอย่างก้าวหน้า แต่การตัดสินอย่างก้าวหน้าควรประกอบด้วยเหตุผลที่มีความเป็นภาววิสัย มีหลักกฎหมายรองรับ และอธิบายให้สังคมยอมรับนับถือได้ เป็นความกล้าปฏิเสธอำนาจนอกระบบและรัฐประหาร เป็นความกล้าตัดสินเพื่อแก้ “วิกฤติ” ด้วยการพิจารณาอย่างรอบคอบจากจิตสำนึกของผู้พิพากษาและยึดกฎหมายเป็นหลัก ไม่ใช่เป็นการตัดสินที่ “คิดว่า” ก้าวหน้าเพื่อแก้ “วิกฤต” เพราะมีใครคนใดคนหนึ่งออกมากระตุ้นให้องค์กรตุลาการต้องตัดสิน หรือ เพราะต้องการปราบปรามศัตรูทางอุดมการณ์ทางการเมือง จริงอยู่ ในนิติรัฐ หลักการควบคุมฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารโดยองค์กรตุลาการ และหลักความเป็นอิสระขององค์กรตุลาการ เป็นหลักการสำคัญอันขาดเสียมิได้ แต่หลักการดังกล่าวไม่ได้มีคุณค่าหรือสถานะสูงสุดเหนือกว่าหลักการอื่น จนทำให้องค์กรตุลาการมีอำนาจล้นฟ้าและปราศจาการตรวจสอบถ่วงดุล ตรงกันข้าม หลักการเหล่านี้เป็นหลักการในทางกลไกเพื่อพิทักษ์รักษาหลักการที่มีคุณค่าสูงสุด คือ หลักนิติรัฐและหลักประชาธิปไตย กล่าวให้ถึงที่สุด อำนาจและความอิสระที่นิติรัฐหยิบยื่นให้องค์กรตุลาการนั้น ก็เพื่อให้นำมาใช้ปกป้องนิติรัฐและประชาธิปไตยนั่นเอง หาใช่ให้เพื่อนำมาใช้ทำลายนิติรัฐและประชาธิปไตยไม่ ต้องไม่ลืมว่า องค์กรตุลาการไม่ได้อยู่เหนือประชาธิปไตย แต่เป็นส่วนหนึ่งของประชาธิปไตยเช่นเดียวกันกับองค์กรอื่นๆ การปฏิบัติหน้าที่ขององค์กรตุลาการให้สอดคล้องกับนิติรัฐ-ประชาธิปไตย และการสำนึกอยู่เสมอว่าตนเป็นส่วนหนึ่งในประชาธิปไตยและมีหน้าที่พิทักษ์ประชาธิปไตย เป็นหนทางเดียวที่จะทำให้องค์กรตุลาการสามารถยืนหยัดอยู่ในสังคมสมัยใหม่ และสร้างความชอบธรรมให้องค์กรตุลาการในการเข้าไปตรวจสอบอำนาจรัฐ ในทางกลับกัน หากองค์กรตุลาการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความอคติ ปิดกั้นการวิพากษ์วิจารณ์การปฏิบัติหน้าที่ของตน หรือยอมพลีตนรับใช้อุดมการณ์บางอย่างด้วยการเป็นกลไกปราบปรามศัตรูแล้ว ความน่าเชื่อถือต่อองค์กรตุลาการย่อมลดน้อยถอยลง จนในท้ายที่สุด อาจไม่เหลือซึ่งการยอมรับคำพิพากษาของศาล หากเป็นเช่นนั้น นอกจากองค์กรตุลาการจะไม่บรรลุพันธกิจปกป้องนิติรัฐ-ประชาธิปไตยแล้ว กลับกลายเป็นว่าองค์กรตุลาการนั่นแหละที่เป็นผู้ทำลายนิติรัฐ-ประชาธิปไตยเสียเอง *ตีพิมพ์ครั้งแรกใน ประชาไท และฟ้าเดียวกันออนไลน์ วันที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๕๑ |
19 October 2010 | by กฤษณ์ วงศ์วิเศษธร | tags เรื่องทั่วไป บทความ
งงตาแตก!! "โครงการอาสาสมัครปกป้องสถาบัน" เรียกระดม "ปืน"ทั่วประเทศ
ชาวเกาหลีเหนือยอมตายเพื่อรักษารูปคิม จอง อิล
สำนักข่าว เคซีเอ็นเอ ของทางการเกาหลีเหนือ รายงานว่า ชาวเกาหลีเหนือจำนวนมากเสี่ยงชีวิตหรือแม้กระทั่งยอมจมน้ำตายเพื่อรักษารูปภาพนายคิม อิล ซุง และนายคิม จอง อิล ผู้นำเกาหลีเหนือ ในอดีตและปัจจุบัน ในระหว่างที่เกิดน้ำท่วมใหญ่ในเกาหลีเหนือเมื่อเดือนที่แล้ว
รายงานระบุว่า ชาวบ้าน 1,000 ครอบครัว ในเมืองโฮหยาง ห่างจากกรุงเปียงยางไปทางตะวันออก 120 กิโลเมตร บ้านเรือนถูกพัดหายไปกับกระแสน้ำเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม แต่ชาวบ้านรักษารูปภาพของนายคิม จอง อิล และนายคิม อิล ซุง นอกจากนี้ ยังมีรายงานในทำนองเดียวกันในหลายพื้นที่ว่าคนงานและนักเรียนในเขตก๊กซานได้รับยกย่องเพราะสามารถรักษารูปปั้นเหมือนนายคิม อิล ซุง ไม่ให้ถูกทำลายเพราะฝนตกหนัก
ประชาชนบางคนต้องเสียชีวิตเพราะการรักษารูปภาพของสองผู้นำเกาหลีเหนือไม่ให้เสียหาย โดยพบหลักฐานหลังน้ำลดว่าผู้ที่เสียชีวิตจากน้ำท่วมนอนกอดรูปภาพของสองผู้นำเกาหลีเหนือที่ถูกใส่ไว้ในถุงพลาสติกปิดผนึกอย่างแน่นหนา
ทั้งนี้ ภาพของนายคิม จอง อิล ปรากฏอยู่ในทุกหนทุกแห่งในเกาหลีเหนือมานานแล้ว ทั้งที่บ้าน ที่ทำงาน และอาคารสาธารณะ โดยจะแขวนไว้อย่างถาวรเคียงข้างรูปของนายคิม อิล ซุง บิดา และผู้นำคนก่อน ประชาชนที่ทำลายรูปของผู้นำจะถูกลงโทษอย่างรุนแรงแม้ว่าเกิดขึ้นจากอุบัติเหตุ.
ขอขอบคุณ MThai
http://weareallhuman2.info/index.php?showtopic=49794&s=4130439895bf6ca02c435f591654de54
อินโดฯกระอัก'ภูเขาไฟ-สึนามิ' หวั่นยอดตายถึง700ศพ
หายนะคู่ - ซากวัวถูกปกคลุมไปด้วยขี้เถ้าจากภูเขาไฟเมราปี ในเมืองยอกยาการ์ตา มียอดผู้เสียชีวิตเกือบ 30 ราย ขณะที่พื้นที่ประสบภัยสึนามิทางภาคตะวันตก มีผู้เสียชีวิตเกิน 200 ศพ โดยที่หมู่บ้านมุนเต บารูบารู พบศพเด็กจำนวนมาก (ภาพเล็ก) เมื่อ 27 ต.ค. |
พินาศ - เจ้าหน้าที่กู้ภัยยืนอยู่ข้างซากปรักหักพังของบ้านเรือนปกคลุมไปด้วยผงธุลีที่มาพร้อมกับธารลาวาจากการปะทุของภูเขาไฟเมราปี ที่เมืองยอกยาการ์ตา และร่างของเหยื่อสึนามิ (ภาพเล็ก) ในหมู่บ้านบารูบารู หมู่เกาะเมนตาไว ของอินโดนีเซีย เมื่อ 27 ต.ค. |
สำหรับหายนะสึนามิ เกิดจากแผ่นดินไหวขนาด 7.7 ริกเตอร์ เมื่อคืนวันที่ 25 ต.ค. ก่อคลื่นสูง 3 เมตร ซัดกวาดรีสอร์ตและที่พักอาศัยกว่า 200 หลังคาเรือนในหมู่เกาะเมนตาไว แหล่งท่องเที่ยวโต้คลื่นยอดนิยม พังราบเป็นหน้ากลอง ทางการส่งเครื่องบินและเฮลิคอปเตอร์บรรทุกสิ่งของบรรเทาทุกข์เข้าไปถึงพื้นที่ประสบภัยแล้ว
นายโบรินเต วัย 32 ปี ผู้รอดตายในหมู่บ้านดูเตมองกา เล่าว่า ตน ภรรยาและลูก 3 คน ได้ยินเสียงดังกึกก้องหลังแผ่นดินไหวราว 10 นาที จึงพากันวิ่งออกมาดูและเห็นคลื่นยักษ์กำลังพุ่งเข้ามา จึงพยายามวิ่งหนีขึ้นที่สูงแต่ไม่ทัน คลื่นมรณะโถมซัดเข้าใส่บ้านที่อยู่ห่างจากชายหาด 50 เมตร จากนั้นก็พบภรรยาและลูกทั้งสามเป็นศพไปแล้ว
สุพรรณฯ อ่วม จมน้ำกว่า 70%
เมื่อวันที่ 28 ต.ค. นายสมศักย์ ภูรีศรีศักดิ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรี เปิดเผยว่าสำหรับพื้นที่จังหวัดสุพรรณบุรี ที่มีพื้นที่เสียหายจากปริมาณน้ำท่วมขังเป็นบริเวณกว้างกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ ของจังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งมีพื้นที่เสียหายหลายอำเภอ อำเภอเมือง อำเภอบางปลาม้า อำเภอสองพี่น้อง อำเภอสามชุก อำเภอศรีประจันต์ อำเภออู่ทอง อำเภอเดิมบางนางบวช อำเภอหนองหญ้าไซ และอำเภอด่านช้าง
ล่าสุด มีการสำรวจพบว่าประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนแล้วขณะนี้กว่า 27,000 ราย และขอเรือหลวงเข้าช่วยเหลือประชาชนจำนวน 50 ลำ ที่เสนอรายชื่อและตัวเลขไปเรียบร้อยแล้วเพื่อขอความช่วยเหลือในขณะนี้ที่ต้องได้รับการเยียวยา และชดเชยเกี่ยวกับการสูญเสียในครั้งนี้อย่างเหมาะสมเพื่อเป็นการบรรเทาปัญหา ซึ่งหลายภาคส่วนอาจมองว่าจำนวนความเดือดร้อนของจังหวัดสุพรรณบุรี มีตัวเลขที่สูงมากกว่าหลายพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบในเรื่องของน้ำท่วมขังซึ่งขอยืนยันว่าตัวเลขผู้เสียหายนั้นเป็นตัวเลขจริง
จากการสำรวจตรวจสอบอย่างละเอียด แต่ละอำเภอที่ได้รับความเดือดร้อนหนักแบบที่ไม่เคยเจอมาก่อน ซึ่งทางรัฐบาลเองน่าจะมีวิธีการช่วยเหลือเยียวยาพื้นที่แก้มลิงเหล่านี้ที่ได้รับผลกระทบเกี่ยวกับเรื่องของน้ำท่วมขังระยะยาวนานกว่า 30 วันอย่างเหมาะสมเพราะเรื่องของน้ำไหลบ่าเข้าท่วมบ้านเรือนรวมถึงพื้นที่การเกษตรของประชาชนไม่ได้เกิดจากน้ำท่วมขังแบบธรรมชาติทั่วไปเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบน่าจะได้รับการเยียวยาในอัตราที่เหมาะสมและตามหลักปฏิบัติตามข้อกฎหมายเพื่อเป็นการบรรเทาปัญหาให้แก่ประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจริงๆและได้ผลจริงๆ นายสมศักย์ กล่าว
"ชวน" ยืนยันไม่ทราบข่าวนักการเมือง "ช" ล้วงโผ
“ชวน”ยืนยันไม่รู้นักการเมือง “ช” ล้วงโผโยกย้ายตำรวจ ลั่นไม่เคยสนับสนุนให้ ส.ส.แทรกแซงหน่วยงานราชการ
วันนี้ (28 ต.ค.) ที่รัฐสภา นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึง กรณีที่ พล.ต.ต.วิสุทธิ์ วานิชบุตร อดีต รอง ผบช.ภ.9 ออกมาระบุพาดพิงว่า มีนักการเมือง “ช.” ที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เกรงใจ เข้าไปแทรกแซงโผโยกย้ายนายตำรวจ ว่า เรื่องนี้ ตนไม่ทราบ คงต้องรอให้ ผบ.ตร.ดำเนินการสอบสวนก่อน แต่เราก็สนับสนุนให้ตำรวจทำตามหน้าที่ และเราก็ไม่เคยสนับสนุนให้ ส.ส.เข้าไปก้าวล่วงในการพิจารณาของหน่วยงานราชการ เพียงแต่ให้ทำหน้าที่สนับสนุนการทำหน้าที่ของตำรวจในการทำตามหน้าที่เท่า นั้น.
ชีวิต "เล็ก วงศ์สว่าง"
บริษัทวงศ์สว่างการพิมพ์จำกัด เริ่มก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 2512 โดย คุณเล็ก วงศ์สว่าง ...ขณะนั้นคุณเล็กมีสไตล์การเปิดเพลงและจัดรายการในรูปแบบเฉพาะตัวไม่เหมือนใครจึงได้รับความนิยมสูงสุดในยุคนั้น แฟนเพลงมักขอเนื้อเพลงเพื่อร้องตามขณะฟังรายการที่เขาเปิด จึงเกิดความคิดในการทำหนังสือเพลงรวมเนื้อเพลงสากลโดยนำชื่อรายการวิทยุมาตั้งเป็นชื่อหนังสือ ทำให้ I.S.Song Hit ผงาดบนแผงหนังสือตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา และเป็นหนังสือที่ขายหมดแผงในเวลาอันรวดเร็วจนกลายเป็นตำนานเพลงสากลในเมืองไทย
หนังสือ The Guitar ยังเป็นหนังสือเพลงที่เป็นเสมือนใบเบิกทางสร้างนักดนตรีศิลปินขึ้นมาประดับวงการมากมายและเป็นสื่อสิ่งพิมพ์ที่ทรงอิทธิพลในวงการเพลงมากที่สุดไม่ว่าจะเป็นวง The Impossible, Royal Sprite ,ชาตรี คีรีบูน ,Grand X จนถึงปัจจุบัน จากความนิยมและการเติบโตของนิตยสารตั้งแต่ปี 2512 นิตยสาร The Guitar ได้รับการพัฒนาเรื่อยมา อีกทั้งยังเป็นต้นแบบให้กับนักกีตาร์มืออาชีพและสมัครเล่น ที่ต้องมีเป็นคู่มือติดตัว ดังเช่นศิลปินที่โด่งดังตลอดการได้ให้คำนิยมถึง นิตยสาร The Guitar ว่า
แอ๊ด คาราบาว “ตั้งแต่ผมมีอายุ 5-6 ขวบ ก็สนใจการร้องเพลงแล้วและได้ หนังสือ The Guitarนี่แหละที่เป็นครูสอนการเล่นกีตาร์ ซึ่งตอนนั้นยังเป็น I.S.Song Hit อยู่เลย
เสก โลโซ “ ตัวผมเองก็เป็นแฟน The Guitar ผมเติบโตมากับ The Guitar ตั้งแต่สมัยเล่มเล็กๆ ที่ผบ้านผมยังมีหนังสือ I.S.Song Hit เยอะมากๆ ”
จากนั้นคุณเล็กเริ่มหันมาสนใจบุกเบิกงานด้านธุรกิจสิ่งพิมพ์แบบเต็มตัวโดยจัดทำหนังสือและนิตยสารมากมาย อาทิ ศาลาคนเศร้า ที่ได้แนวความคิดมาจากแฟนเพลงเขียนจดหมายระบายความในใจผ่านทางรายการวิทยุที่ตัวเองจัด ศาลาคนเศร้าจึงเป็นพอคเก็ตบุ๊คที่รวมเรื่องราวความรักและชีวิตจากประสบการณ์จริงของผู้อ่านที่ได้รับความนิยมอย่างสูง ....ริเริ่มการผลิตนิตยสารแฟชั่นเป็นรายแรกของเมืองไทย ในชื่อว่าTeenage fashion และ Star Fashion นิตยสารที่รวบรวมผลงานจากห้องเสื้อชั้นนำมากมาย และยังเป็นจุดเริ่มต้นในการพัฒนาและแตกแขนงของนิตยสารแฟชั่นด้านอื่นๆ ทั้งเสื้อผ้า ทรงผม อาทิ Bride International , Kiddy , Hair Style ฯลฯ นอกจากนี้คุณเล็กยังเป็นราชาโปสเตอร์ ที่นำศิลปิน ดาราชื่อดังมาถ่ายภาพเพื่อทำโปสเตอร์ซึ่งได้รับความนิยมมากในยุคนั้น
จากก้าวแรกในวันนั้น จนถึงปัจจุบัน คุณเล็กได้ทุ่มเทแรงกาย แรงใจ วางรากฐานให้ บ.วงศ์สว่างการพิมพ์ มีความยิ่งใหญ่มั่นคงมากว่า 40 ปี โดยคุณเล็กยังคงดำรงตำแหน่ง ประธานบริษัท โดยมี คุณจารุวรรณ(ภรรยา) ดำรงตำแหน่งรองประธาน โดยมีบุตรธิดา ทั้ง 3 คน ช่วยกันบริหารกิจการตามกำลังความสามารถและความถนัด ได้แก่ นรรฆพล ตำแหน่ง กรรมการผู้จัดการ ปิยะวรรณ ตำแหน่งบรรณาธิการบริหาร และ คุณภัทรพล ผู้อำนวยการผลิต มาช่วยเติมเต็มให้บริษัทสามารถขับเคลื่อนให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
นอกจากงานผลิตหนังสือและนิตยสารกว่า 50 หัวแล้ว บริษัทวงศ์สว่างการพิมพ์ จำกัด ยังให้บริการออกแบบให้บริการถ่ายภาพ และบริการงานพิมพ์โดยบุคลากรมากประสบการณ์ ด้วยแท่นพิมพ์คุณภาพสูง ภายใต้สโลแกน“สูงด้วยคุณภาพ พร้อมผลงานที่รวดเร็ว