วันที่ 27
มีนาคม พ.ศ. 2557 go6TV – คุณสุวินันท์
ชัยปราโมทย์ หรือเป็นที่รู้จักกันในฐานะหญิงสาวสุดแกร่งผู้มีวีรกรรมปีนรั้วฝ่าวงล้อมม็อบ
กปปส. เข้าไปใช้สิทธิเลือกตั้งในเขตสวนหลวง เมื่อวันที่ 26
มกราคม 2557 (วันเลือกตั้งล่วงหน้า)
เธอได้ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวมติชนถึงกรณีมีกระแสข่าวเกี่ยวกับการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนกลาง
มีเนื้อหาดังนี้
คำถาม : ณ
เวลานี้มีการเคลื่อนไหวอย่างไรบ้าง เมื่อมีข่าวจะมีการตั้งนายกรัฐมนตรีตามมาตรา 7?
คุณสุวินันท์ กล่าวว่า “สำหรับการเคลื่อนไหวในตอนนี้ คือ การฟ้องร้องตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
ที่วินิจฉัยให้การเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์
ที่ผ่านนั้นเป็นโมฆะ ตอนนี้ก็กำลังดำเนินการในส่วนนี้อยู่เพราะว่าการคำวินิจฉัยที่ออกมานั้นไม่มีความเป็นธรรมต่อ
20 ล้านเสียงที่ออกไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ส่วนกรณีของนายกฯคนกลาง
ก็ยังไม่สามารถสรุปได้ว่าจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่
เพียงแต่ทราบจากข่าวเท่านั้นว่ามีหลายฝ่ายได้เสนอชื่อบุคคลต่างๆ แต่บุคคลที่ถูกเสนอชื่อมาหลายคนก็เริ่มออกมาปฏิเสธว่าจะไม่รับตำแหน่งนี้
เพราะบุคคลเหล่านี้บางท่านก็มีตำแหน่งที่ดีมีเกียรติอยู่แล้ว
ตอนนี้ก็คิดว่ามันอาจจะเป็นข่าวลือ”
คำถาม : คิดอย่างไรที่หลายฝ่ายมีการประกาศออกมาว่าจะมีนายกรัฐมนตรีคนกลางขึ้นมาบริหารประเทศ?
คุณสุวินันท์ กล่าวว่า “การมีนายกฯคนกลาง หรือนายกฯ ม.7 มันไม่ถูกต้อง
มันไม่ได้รับการยอมรับ การเป็นนายกฯคนกลางก็คงจะเป็นได้แต่ชื่อ ถ้าตามจริงนายกฯคนกลางไม่มีอยู่แล้ว
มีแต่ชื่อที่ถูกเสนอมาเท่านั้น บุคคลที่ถูกเสนอชื่อก็ไม่ยอมรับ
เป็นเพียงการคาดการณ์เท่านั้น การมีนายกคนกลางประชาชนก็ต้องไม่ยอมรับอยู่แล้ว
การกระทำแบบนี้ก็เหมือนไปล้มล้าง 20 ล้านเสียงของคนที่ออกไปใช้สิทธิเลือกตั้ง
และหากเกิดขึ้นจริง คนที่ขึ้นมาเป็นนายกคนกลางก็จะอยู่ในตำแหน่งได้ไม่นาน
การมาเป็นนายกฯคนกลางมีแต่เสียกับเสีย
ไม่มีใครยอมรับกับการกระทำดังกล่าวของคนกลุ่มหนึ่ง คนขึ้นมาเป็นก็ต้องคิดให้หนัก”
คำถาม : ถ้าเกิดมีนายกรัฐมนตรีตามมาตรา
7 เกิดขึ้นจริง คิดว่าประเทศไทยจะเป็นอย่างไร?
คุณสุวินันท์ กล่าวว่า “สำหรับประเทศไทยมี 2 ทางที่จะเกิดขึ้น
ซึ่งก็จะมีแต่เสียกับเสีย ส่วนใหญ่ที่ส่งผลกระทบกับประเทศก็จะมีแต่ทางลบ
โดยในประเทศไทยที่มีระบอบประชาธิปไตย ประชาชนก็ต้องไม่ให้การยอมรับ
อาจจะเกิดการลุกขึ้นมาต่อต้านกับนายกฯ ม.7
ประชาชนในประเทศมาถึงจุดอิ่มตัว กับเหตุการณ์บ้านเมืองและภาวะที่เกิดขึ้น
เป็นเหมือนกันมัดมือชก มีแต่คนหยิบยื่นสิ่งต่างๆโดยที่ประชาชนไม่สามารถเป็นฝ่ายเลือกเองได้
ดังนั้นหากมีนายกฯ ม.7 เกิดขึ้นจริงก็อาจเกิดการต่อสู้ขึ้นมา
ซึ่งก็เป็นสิทธิของประชาชนที่จะออกมาต่อสู้ เพราะมันถึงเวลาปลดแอกอีกด้านหนึ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือ
การไม่เป็นที่ยอมรับของนานาอารยประเทศ เพราะประเทศไทยก้าวไปใช้ระบอบเผด็จการเพราะการมีนายกฯ
ม.7 ที่ไม่ได้มาจากประชาชนเลือกเข้ามา
ก็เหมือนกับการเผด็จการ และก็เหมือนกับการปฏิวัติโดยไม่ใช้กำลัง”
คำถาม : คิดว่าหากเกิดนายกรัฐมนตรีตามมาตรา
7 หรือนายกรัฐมนตรีคนกลางขึ้นจริงประชาชนจะออกมาต่อต้านไหม?
คุณสุวินันท์ กล่าวว่า “ต่อต้าน ต้องมีการต่อต้านเกิดขึ้น เพราะการมีนายกฯมาตรา 7 มันเป็นสิ่งที่ไม่มีประชาชนคนไหนยอมรับ ยิ่งไม่ได้มาตามระบอบประชาธิปไตย
ยิ่งต่อต้าน การกระทำแบบนั้นก็จะต่อเนื่องไปเรื่อย เป็นไปด้วยระบบกลไกวนเวียนแบบนี้ไม่จบ
ซึ่งก็ต้องเกิดการขัดขวางจากการที่ไม่เคารพกติกา ประชาชนก็ออกมาต่อต้านไม่ยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น
เพราะในปัจจุบันประชาชนตื่นตัวกับการเมืองมากขึ้น
และตราบใดที่ไม่ใช่ระบบประชาธิปไตยที่แท้จริงแล้ว ปัญหามันก็จะไม่จบสิ้น
ประชาธิปไตยที่แท้จริงต้องมาจากเสียงของคนส่วนใหญ่
ไม่ใช่การเผด็จการที่ไม่มีคนยอมรับ และตอนนี้ประเทศก็มาถึงจุดอิ่มตัว ประชาชนก็เริ่มไม่พอใจ
ซึ่งต่างประเทศก็พัฒนานำหน้าประเทศไทยไปแล้ว คนไทยก็อยากจะพัฒนาเหมือนกัน
ต่างประเทศมีการเรียกร้องประชาธิปไตย แต่ประเทศไทยเรากำลังเข้าหาเผด็จการ”
คำถาม : การที่กลุ่มทางการเมืองบางกลุ่มออกมาเรียกร้องให้มีการ
ปฏิรูปก่อนทำการเลือกตั้ง คิดอย่างไรกับเรื่องนี้?
คุณสุวินันท์ กล่าวว่า “ปฏิรูปเป็นเรื่องที่ดีเพราะประเทศไทยต้องทำการปฏิรูปได้แล้ว ประชาธิปไตยสำหรับประเทศเรามันมีความแปลกไม่เหมือนกับประเทศอื่น
บางอย่างก็มาจากการเลือกตั้งจากเสียงของประชาชน
แต่บางอย่างก็เป็นเพียงคนบางคนหรือบางกลุ่มเลือกขึ้นมา อย่างเช่น องค์กรอิสระ
ที่มีคนบางคนเลือกขึ้นมาทำงานและไม่ได้มาจากประชาชน ตามประชาธิปไตย
การเป็นประชาธิปไตยต้องมาจากการเลือกตั้ง ซึ่งแนวทางขององค์กรอิสระไม่มาอย่างนั้น
ถ้าคิดจะปฏิรูปจริงก็คงจะต้องปฏิรูปองค์กรอิสระเสียก่อน ต้องปฏิรูปจากการเลือกตั้ง
ไม่ใช่มาจากกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเท่านั้น ก็เปรียบเหมือนโลกที่ถูกล้อมรอบด้วยกลุ่มดาว
แม้ว่าโลกจะหมุนหรือหันไปทางไหนก็มีกลุ่มดาวคอยส่องแสงบดบังอยู่ตลอดเวลา”
คำถาม : ในภาวะบ้านเมือง
ณ ตอนนี้ที่มีความวุ่นวายจากเหตุการณ์ทางการเมือง ภาวะเหล่านี้จะอยู่ไปอีกนานแค่ไหน?
คุณสุวินันท์ กล่าวว่า “ถ้าภาวะบ้านเมืองในตอนนี้ก็คงจะเป็นแบบนี้ไปอีกระยะหนึ่ง
ซึ่งอาจจะเกินปีนี้ เนื่องจากระบอบเหล่านี้มันเป็นมานาน
คนมีอำนาจบางกลุ่มก็ไม่ยอมปล่อยหรือลงจากอำนาจ ประชาชนส่วนใหญ่ก็เบื่อกับสิ่งที่เกิดขึ้น
ประชาชนก็เตรียมปลดแอก ซึ่งต้องรวมพลังกันอย่างมากเพื่อที่จะปลดแอกให้สำเร็จ คนในประเทศไทยเราส่วนมาก็มีทั้งระดับกลางและระดับล่าง
ที่พยายามจะเปลี่ยนแปลงหรือรวมพลังแสดงออกต่างๆ
แต่คนชั้นสูงกลับอยู่ใต้อำนาจของคนบางกลุ่ม
ซึ่งภาวะแบบนี้ก็คงต้องใช้ระยะเวลาและอยู่ไปอีกพักใหญ่ ถ้านับกันจริงก็เกือบครึ่งปีแล้ว
ตั้งแต่ปลายปี 2556 และปี 2557 ไม่ว่าเหตุการณ์จะจบแบบไหน
จะมีนายกฯคนกลางหรือไม่ ซึ่งถ้ามี คนก็ต้องกลับมาต่อต้านกันอีก
ก็ค่อนข้างหนักใจที่ต่างฝ่ายไม่ยอมกัน”
คำถาม : คิดว่าทางออกจริงๆของประเทศคืออะไร?
คุณสุวินันท์ กล่าวว่า “ทางออกมันมีมานานแล้ว คือ ให้ทุกฝ่ายเล่นตามกติกา
ประเทศไทยมีความเป็นประชาธิปไตย คนอยู่ในประเทศเป็นจำนวนมาก ไม่ใช่หมู่บ้านหรือตำบล
ดังนั้นทุกคนก็ควรจะต้องอยู่ในกติกา ทำตามระบบประชาธิปไตย
คนที่ต้องการให้เป็นไปตามระบบหรืออำนาจของเขา ก็ขอให้เล่นตามกติกา เพราะสมัยนี้คนบางกลุ่มพยายามเล่นนอกกติกาเพื่อให้ได้อำนาจต่างๆ
คำพูดของการปฏิรูป ดูสวยหรู ดูดี แต่แนวทางการปฏิรูปนั้นต้องการปฏิรูปอะไร ปฏิรูปอย่างไร
แล้วการปฏิรูปเป็นไปตามกฎกติกาและประชาธิปไตย
ถ้าการปฏิรูปคือการวางแผนให้แบบที่ต้องการเอาไว้แล้ว ก็ไม่ใช่การปฏิรูป
ซึ่งอยากขอให้ทุกฝ่ายอยู่ในกติกา อยากให้หลายกลุ่ม เช่น กปปส.
คุยกับพรรคการเมืองบางพรรค ให้ออกมาเล่นตามกติกา
ใช้กติกาตามที่โลกและต่างประเทศเขาทำกัน และเกิดการยอมรับ
แม้จะมีการเลือกคนมาทำงาน แต่ถ้าไม่ได้มาจากการเลือกของประชาชนทุกคนในประเทศ ประชาชนก็จะไม่ยอมรับ
นั่นคือการเผด็จการ ประเทศเรามีคนไม่เล่นตามกติกา
คนคุมกฎก็ไปเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ไม่เข้าข้างกติกา ทางออกที่แท้จริงมันก็คือ
เคารพกติกาและทำตามกติกา”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น