วันพุธที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
ชมภาพ! "แก๊งดาวแดง" เก็บของขึ้นปิ๊กอัพกลับบ้านแล้ว อ้าง "ไม่อยากไปปะทะ 4 ส.ค.นี้"
พรรคร่วมรัฐบาลแถลงหนุน ร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรม ช่วยทุกสี-ทุกฝ่าย
วันที่ 31 กรกฎาคม 2556 พรรคร่วมรัฐบาล
ประกอบด้วย พรรคเพื่อไทย พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคชาติพัฒนาและพรรคพลังชล
ได้แถลงการณ์ของพรรคร่วมรัฐบาลเรื่อง พระราชบัญญัตินิรโทษกรรม โดยระบุว่า สังคมไทยเกิดความขัดแย้ง แตกแยก
แบ่งฝักแบ่งฝ่ายกันมาเป็นเวลานาน ส่งผลให้เกิดความขัดแย้งที่ฝังลึกในสังคมไทย
ทำให้เกิดการกระทำและแสดงความคิดเห็นทางการเมืองที่ขัดต่อกฎหมาย
เป็นผลให้เกิดการดำเนินคดี ซึ่งสร้างความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนเพียงเพราะมีความคิดเห็นทางการเมืองที่แตกต่างกัน
ประชาชนส่วนใหญ่เบื่อหน่ายกับความขัดแย้งที่เกิดขึ้น
ต่างมีความต้องการที่จะให้ประเทศชาติหลุดพ้นจากวิกฤตดังกล่าว
ต้องการเห็นคนในสังคมไทยมีความปรองดอง สมานฉันท์
ประชาชนจำนวนมากต้องตกเป็นผู้ต้องหาในคดีอาญา มีทั้งถูกจำคุก
ไม่ได้ประกันตัว และหลบหนี ส่งผลให้เผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก ขาดความเป็นอิสระ
พลัดพรากจากครอบครัว และสูญเสียอาชีพการงาน
และบางส่วนยังมีผลกระทบไปถึงบุคคลในครอบครัว เกิดสภาพบ้านแตกหรือเป็นภาระที่ทำให้การดำเนินชีวิตของครอบครัวต้องเผชิญกับภาวะวิกฤต
เกิดปัญหาครอบครัว ส่งผลให้เกิดปัญหาในสังคม
พรรคร่วมรัฐบาลเห็นว่าแนวทางการแก้ไขปัญหาฝังลึกดังกล่าวคือการให้โอกาสประชาชน
เป็นการส่งเสริมสิทธิมนุษยชนและสิทธิพลเมืองตามระบอบประชาธิปไตย
เป็นการลดความขัดแย้งทางการเมือง อันจะเป็นพื้นฐานเบื้องต้นที่จะนำไปสู่ความปรองดองสมานฉันท์ของคนในชาติ
ประเทศไทยมีบทเรียนจากการแก้ไขปัญหาด้วยความรุนแรงมาแล้ว (การปฏิวัติ
การสลายการชุมนุม) ซึ่งล้วนแต่เป็นการเพิ่มความขัดแย้ง เพิ่มความไม่เข้าใจกัน
การให้โอกาสประชาชนดังกล่าวคือการแก้ปัญหาโดยการให้อภัยทุกฝ่ายไม่ใช้ความอาฆาตแค้น
พรรคร่วมรัฐบาลจึงเห็นพ้องต้องกันว่าสภาผู้แทนราษฎรควรจะพิจารณาร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแก่ผู้ซึ่งกระทำความผิดเนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง
การแสดงออกทางการเมืองของประเทศ พ.ศ. .... (ร่างของนายวรชัย เหมะและคณะ)
โดยสภาผู้แทนราษฎรได้บรรจุร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว
โดยมีหลักการสำคัญที่จะนิรโทษกรรมประชาชนที่เข้าร่วมชุมนุมทางการเมือง ทุกสี
ทุกฝ่าย อย่างเท่าเทียมกัน
ซึ่งกระทำความผิดเนื่องจากการชุมนุมทางการเมืองการแสดงออกทางการเมืองของประชาชน
ระหว่างวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 ถึงวันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2554
การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ถือเป็นวาระปกติ
โดยพรรคร่วมรัฐบาลจะไม่นำร่างพระราชบัญญัติอื่นๆ ในทำนองเดียวกันมาพิจารณาร่วมด้วย
และใช้วิธีพิจารณาตามข้อบังคับปกติทั่วไป โดยไม่มีข้อยกเว้นหรือเร่งรัดใดๆ
เพื่อให้เกิดความรอบคอบและเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติมากที่สุด
โดยพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม
ฉบับนายวรชัย เหมะและคณะมีหลักการคือ“ไม่รวมถึงการกระทำใดๆ
ของบรรดาผู้ซึ่งมีอำนาจในการตัดสินใจ
หรือสั่งการให้มีการเคลื่อนไหวทางการเมืองในห้วงระยะเวลาดังกล่าว” ซึ่งเป็นการนิรโทษกรรมให้ประชาชนผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการชุมนุมเท่านั้นไม่เกี่ยวข้องกับแกนนำและผู้สั่งการ
คดีที่ติดค้างกับประชาชนทั้งสองฝ่ายร้ายแรงไม่แพ้กัน เช่น
การก่อการร้าย การยึดสนามบิน ถ้าปล่อยไว้จะกลายเป็นชนักติดหลัง
ความสงบจะเกิดขึ้นยาก พระราชบัญญัติฉบับนี้จึงนิรโทษกรรมให้“ประชาชนทั้งสองฝ่ายอย่างเท่าเทียมกัน ไม่มีการเลือกข้างใดๆ ทั้งสิ้น”
เมื่อสังคมมีความสงบสุข ความขัดแย้งทางการเมืองลดน้อยลง
จึงเป็นโอกาสของประเทศในการเข้าสู่ความสงบเรียบร้อยมีความมั่นคงหลังจากเราสูญเสียโอกาสแห่งความเจริญก้าวหน้ามาเป็นเวลานานซึ่งจะเอื้ออำนวยต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศอย่างมีเสถียรภาพ
นำประเทศกลับไปสู่ครั้งอดีต เกิดความรัก ความสามัคคีกัน ของคนในชาติ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานยืนยันน้ำมันไม่ขาดแคลน และเร่งรัด พีทีทีโกลบอลเคมิคอลฟื้นฟูสภาพแวดล้อม
นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานยืนยันการหยุดใช้งานทุ่นรับจ่ายน้ำมัน (SPM: Single Point Mooring) จะไม่ทำให้เกิดการขาดแคลนน้ำมันภายในประเทศ พร้อมสั่งการกรมธุรกิจพลังงานติดตามสถานการณ์การสำรองและจัดหาน้ำมัน หากมีความจำเป็นสามารถสั่งการให้นำน้ำมันสำรองตามกฎหมายมาใช้ก่อนได้ นอกจากนี้ได้เร่งรัดบริษัท พีทีทีโกลบอลเคมิคอล ทำการฟื้นฟูสภาพแวดล้อมบริเวณอ่าวพร้าว จังหวัดระยอง ให้คืนสู่สภาพเดิมโดยเร็ว
31 กรกฏาคม 2556 go6TV - นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล ได้เรียกประชุมผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงพลังงาน และบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และผู้เกี่ยวข้อง เพื่อติดตามการแก้ไขปัญหาน้ำมันดิบรั่ว ลงทะเล รวมถึงหารือเตรียมการแก้ไขสถานการณ์ที่อาจส่งผลกระทบต่อการจัดหาน้ำมันดิบเข้าป้อนโรงกลั่นน้ำมัน (PTTGC และ SPRC)
จากเหตุการณ์ท่อน้ำมันรั่วที่ทุ่นรับจ่ายน้ำมันห่างจากชายฝั่งจังหวัดระยอง ประมาณ20กิโลเมตร (เมื่อวันที่ 27 ก.ค.56 เวลา 06.50 น.) ทำให้โรงกลั่นไม่สามารถใช้งานทุ่นรับน้ำมันดิบ (SPM: Single Point Mooring) ในการรับน้ำมันเข้าสู่โรงกลั่นได้ โดยมีโรงกลั่นที่ได้รับผลกระทบ คือ โรงกลั่น PTTGC ซึ่งมีกำลังการกลั่น 145,000 บาร์เรลต่อวัน และโรงกลั่นน้ำมันสตาร์ปิโตรเลียม ซึ่งมีกำลังการกลั่น 150,000 บาร์เรลต่อวัน โดยในเบื้องต้นโรงกลั่นทั้งสองแห่งมีปริมาณน้ำมันสำรองทางกฎหมายที่สามารถใช้ได้แห่งละ 18 วัน และยังมีในส่วนของ Working stock ที่สามารถนำมาใช้ได้ในช่วงที่ยังไม่มีการขนถ่ายน้ำมันดิบ
ทั้งนี้ กระทรวงพลังงาน โดยกรมธุรกิจพลังงานมีมาตรการรองรับ อาทิ การผ่อนผันให้โรงกลั่นทั้งสองแห่งนำน้ำมันสำรองตามกฎหมายออกมาใช้ นอกจากนี้ ทาง ปตท.ได้แจ้งต่อที่ประชุมว่าได้ทำการซ่อมแซมท่อน้ำมันที่ได้รับความเสียหายเรียบร้อยแล้ว และจะบริหารจัดการการจัดหาน้ำมันดิบไม่ให้เกิดผลกระทบต่อการจัดหาน้ำมันสำเร็จรูปในประเทศ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวด้วยว่า “ได้สั่งการให้กรมธุรกิจพลังงานติดตามสถานการณ์การจัดหาและสำรองน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูปที่โรงกลั่นน้ำมันทั้งสองแห่งที่ได้รับผลกระทบอย่างใกล้ชิด รวมถึงใช้มาตรการตามกฎหมายในการผ่อนผันการสำรองน้ำมันเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงป้อนเข้าสู่โรงกลั่นในประเทศ และได้ให้กรมธุรกิจพลังงานตรวจสอบข้อเท็จจริงจากเหตุการณ์น้ำมันรั่วไหลดังกล่าวด้วย รวมทั้งได้เร่งรัดให้ พีทีทีโกลบอลเคมิคอล ทำการฟื้นฟูสภาพแวดล้อมบริเวณอ่าวพร้าวอันเนื่องมาจากการปนเปื้อนของคราบน้ำมันในทะเลให้คืนสู่สภาพเดิมโดยเร็ว”
"ชัชชาติ" จัดเต็ม! 123สไลด์ - เชื่อมภาค เชื่อมชีวิต บูรณาการทุกทิศสู่ความเจริญ
31 กรกฏาคม 2556 go6TV - กองบรรณาธิการ go6TV นำเสนอ ต้นฉบับเอกสารงานนำเสนอ (Microsoft PowerPoint) จำนวน 123 หน้า โดย นายชัชชาติ สิทธิพันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ปาฐกถาพิเศษ ในหัวข้อ "เชื่อมภาค เชื่อมชีวิต บูรณาการทุกทิศสู่ความเจริญ" งาน "Moving Forward 2 ล้านล้าน ขับเคลื่อนไทยทัดเทียมโลก" ณ ห้องบอลรูม ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ซึ่งจัดโดยสำนักบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) กระทรวงการคลัง และกระทรวงคมนาคม วานนี้ ตามลิงค์นี้ http://sdrv.ms/13YV697
ป้ายกำกับ:
ชัชชาติ สิทธิพันธ์
"ทักษิณ" FB แนะคนไทย ระวังเป็นเหยื่อข่าวลือ
31 กรกฎาคม 2556 go6TV - ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟสบุ๊กส่วนตัว https://www.facebook.com/thaksinofficial โดยมีข้อความดังนี้
ผมเขียน FB ตอนอยู่บนเครื่องบินเดินทางกลับดูไบจากฮ่องกงครับ ต้องขออภัยที่ไม่ได้เขียนนานมากเพราะมัวแต่เดินทาง ทำงานและรับแขก เมื่อวันก่อนโอ๊คส่งรูปและคลิปอัลกออิดะฮ์ (ปลอม) ขู่ผม พอผมเห็นปุ๊บก็ขำทันทีว่ามีคนคิดพิเรนทร์อีกเช่นเคย ผมขอบอกวิธีดูให้ 3-4 จุดนะครับเผื่อจะไม่ถูกหลอกจากคนที่ไม่ค่อยรู้แต่อยากทำ
1. เวลาเป็นอัลกออิดะฮ์แท้เขาจะไม่เปิดหน้า เขากลัวถูกตามฆ่า
2. อัลกออิดะฮ์ไม่ใส่นาฬิกาสีทอง
3. สำเนียงพูดจะเป็นเสียงมุสลิมปากีสถาน เพราะผมมีเพื่อนเป็นปากีสถานหลายคนและอยู่ดินแดนมุสลิม
4. อัลกออิดะฮ์ไม่ให้ความสนใจเข้ามายุ่งเรื่อง 3 จว.ชายแดนใต้
ก็เลยอยากจะบอกพี่น้องคนไทยว่า ก่อนจะเชื่ออะไรต้องมีวิธีคิด รู้จักคิดและวิเคราะห์ ไม่เช่นนั้นจะตกเป็นเหยื่อของข่าวหลอกและข่าวลือครับ วันนี้เราโดนต้มกันเยอะจนมีครั้งหนึ่งผมจำได้ดีตอนผมทำธุรกิจอยู่ประมาณ 20 ปีที่แล้ว ผมได้จ้างบริษัทที่ปรึกษาด้านบริหารการจัดการชื่อดังของอเมริกาที่ชื่อ Boston Consulting Group (BCG) ตอนเขามาทำ Presentation เพื่อเป็นการวิเคราะห์สังคมไทย ประโยคแรกที่ขึ้นมาบน slide เขาบอกว่า Thailand is rumour driven society
ผมเห็นแล้วทั้งขำทั้งเศร้า เพราะฝรั่งยังรู้จุดอ่อนของสังคมไทยว่าเป็นสังคมข่าวลือ (แถมข่าวปล่อยด้วย) เลยทำให้เราต้องกลับมาคิดว่าเราจะแก้อย่างไรที่สังคมไทยจะเป็นสังคมที่รู้จักพินิจพิเคราะห์ ไม่เชื่อง่าย ไม่โดนหลอกง่าย สิ่งที่ผมหัดคิดและสอนลูกๆก็คือ โลกยุคนี้เป็นยุคที่เราเรียกกันว่าสังคมฐานความรู้ และเราต้องรู้จักเรียนรู้ตลอดชีวิต ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็น Formal หรือ Classroom type of education การอ่าน การเข้าเน็ต (google etc.) การไปดูนิทรรศการ การเดินทางไปต่างประเทศ ขี้สังเกตสังกาแล้วนำมาวิเคราะห์ก็จะสร้างให้เราได้ทั้ง Knowledge และ Wisdom
การเรียนแบบ Formal ในห้องเรียนอย่างเดียว แม้กระทั่งคนเรียนเก่งบางทีก็ได้แค่ Knowledge แต่ไม่ได้ Wisdom โดยเฉพาะนักท่องจำทั้งหลาย
พอพูดถึง BCG ผมก็เลยขอเล่าให้นักธุรกิจฟังว่า BCG เขามี Boston Model ที่ขึ้นชื่อ เขาแบ่งธุรกิจสร้างใหม่ออกเป็น 4 ประเภท
1. ธุรกิจที่สร้างขึ้นใหม่ๆ เรียกว่า Baby
2. ธุรกิจสร้างแล้วทางบัญชีมีกำไรแต่กระแสเงินสดยังติดลบเพราะต้องของบการลุงทุนเรียกว่า Star
3. ธุรกิจที่ทางบัญชีและกระแสเงินสุดเป็นบวกเพราะการขยายตัวให้เงินจากกำไรไปทำแล้วยังเหลือเรียกว่า Cash Cow
4. ธุรกิจที่ขาดทุนกระแสเงินสดติดลบ ไม่มีอนาคต ยิ่งทำยิ่งเจ๊ง เรียกว่า Dog
ทั้ง 4 ข้อเป็นแนวทางที่เขาใช้วิเคราะห์กลุ่มบริษัทตัวเองว่า ถ้ามี Dog ต้อง Kill คือเลิกเสีย อย่าทู่ซี้นานถ้าเราไม่มั่นใจว่าจะเปลี่ยนให้มีกำไรได้ ถ้ามี Cash Cow ตัวใหญ่ไม่พอก็อย่าขยับสร้าง Baby ใหม่ๆเรื่อยๆเดี๋ยวจะเหนื่อย ให้รักษา Star และ Cash Cowไว้ให้ดี มีให้เยอะ แล้วจะสำเร็จครับ ขอให้สำเร็จทุกคนนะครับ
ผมเขียน FB ตอนอยู่บนเครื่องบินเดินทางกลับดูไบจากฮ่องกงครับ ต้องขออภัยที่ไม่ได้เขียนนานมากเพราะมัวแต่เดินทาง ทำงานและรับแขก เมื่อวันก่อนโอ๊คส่งรูปและคลิปอัลกออิดะฮ์ (ปลอม) ขู่ผม พอผมเห็นปุ๊บก็ขำทันทีว่ามีคนคิดพิเรนทร์อีกเช่นเคย ผมขอบอกวิธีดูให้ 3-4 จุดนะครับเผื่อจะไม่ถูกหลอกจากคนที่ไม่ค่อยรู้แต่อยากทำ
1. เวลาเป็นอัลกออิดะฮ์แท้เขาจะไม่เปิดหน้า เขากลัวถูกตามฆ่า
2. อัลกออิดะฮ์ไม่ใส่นาฬิกาสีทอง
3. สำเนียงพูดจะเป็นเสียงมุสลิมปากีสถาน เพราะผมมีเพื่อนเป็นปากีสถานหลายคนและอยู่ดินแดนมุสลิม
4. อัลกออิดะฮ์ไม่ให้ความสนใจเข้ามายุ่งเรื่อง 3 จว.ชายแดนใต้
ก็เลยอยากจะบอกพี่น้องคนไทยว่า ก่อนจะเชื่ออะไรต้องมีวิธีคิด รู้จักคิดและวิเคราะห์ ไม่เช่นนั้นจะตกเป็นเหยื่อของข่าวหลอกและข่าวลือครับ วันนี้เราโดนต้มกันเยอะจนมีครั้งหนึ่งผมจำได้ดีตอนผมทำธุรกิจอยู่ประมาณ 20 ปีที่แล้ว ผมได้จ้างบริษัทที่ปรึกษาด้านบริหารการจัดการชื่อดังของอเมริกาที่ชื่อ Boston Consulting Group (BCG) ตอนเขามาทำ Presentation เพื่อเป็นการวิเคราะห์สังคมไทย ประโยคแรกที่ขึ้นมาบน slide เขาบอกว่า Thailand is rumour driven society
ผมเห็นแล้วทั้งขำทั้งเศร้า เพราะฝรั่งยังรู้จุดอ่อนของสังคมไทยว่าเป็นสังคมข่าวลือ (แถมข่าวปล่อยด้วย) เลยทำให้เราต้องกลับมาคิดว่าเราจะแก้อย่างไรที่สังคมไทยจะเป็นสังคมที่รู้จักพินิจพิเคราะห์ ไม่เชื่อง่าย ไม่โดนหลอกง่าย สิ่งที่ผมหัดคิดและสอนลูกๆก็คือ โลกยุคนี้เป็นยุคที่เราเรียกกันว่าสังคมฐานความรู้ และเราต้องรู้จักเรียนรู้ตลอดชีวิต ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็น Formal หรือ Classroom type of education การอ่าน การเข้าเน็ต (google etc.) การไปดูนิทรรศการ การเดินทางไปต่างประเทศ ขี้สังเกตสังกาแล้วนำมาวิเคราะห์ก็จะสร้างให้เราได้ทั้ง Knowledge และ Wisdom
การเรียนแบบ Formal ในห้องเรียนอย่างเดียว แม้กระทั่งคนเรียนเก่งบางทีก็ได้แค่ Knowledge แต่ไม่ได้ Wisdom โดยเฉพาะนักท่องจำทั้งหลาย
พอพูดถึง BCG ผมก็เลยขอเล่าให้นักธุรกิจฟังว่า BCG เขามี Boston Model ที่ขึ้นชื่อ เขาแบ่งธุรกิจสร้างใหม่ออกเป็น 4 ประเภท
1. ธุรกิจที่สร้างขึ้นใหม่ๆ เรียกว่า Baby
2. ธุรกิจสร้างแล้วทางบัญชีมีกำไรแต่กระแสเงินสดยังติดลบเพราะต้องของบการลุงทุนเรียกว่า Star
3. ธุรกิจที่ทางบัญชีและกระแสเงินสุดเป็นบวกเพราะการขยายตัวให้เงินจากกำไรไปทำแล้วยังเหลือเรียกว่า Cash Cow
4. ธุรกิจที่ขาดทุนกระแสเงินสดติดลบ ไม่มีอนาคต ยิ่งทำยิ่งเจ๊ง เรียกว่า Dog
ทั้ง 4 ข้อเป็นแนวทางที่เขาใช้วิเคราะห์กลุ่มบริษัทตัวเองว่า ถ้ามี Dog ต้อง Kill คือเลิกเสีย อย่าทู่ซี้นานถ้าเราไม่มั่นใจว่าจะเปลี่ยนให้มีกำไรได้ ถ้ามี Cash Cow ตัวใหญ่ไม่พอก็อย่าขยับสร้าง Baby ใหม่ๆเรื่อยๆเดี๋ยวจะเหนื่อย ให้รักษา Star และ Cash Cowไว้ให้ดี มีให้เยอะ แล้วจะสำเร็จครับ ขอให้สำเร็จทุกคนนะครับ
ป้ายกำกับ:
ทักษิณ ชินวัตร
วันอังคารที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
"พานทองแท้" FB โพสต์คลิป เทียบวิสัยทัศน์ทางด้านการปรองดองของ 2อดีตนายกฯ
30 กรกฎาคม 2556 go6TV - ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมา นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟสบุ๊กส่วนตัว https://www.facebook.com/oakpanthongtae โดยมีข้อความดังนี้
วิสัยทัศน์ทางด้านการปรองดองของ 2อดีตนายกฯ ดูได้ที่นี่ครับ
คลิปสั้นๆนี้ มีคนตัดต่อส่งมาให้ผมดูครับ ช็อตต่อช็อต ประเด็นต่อประเด็น เพื่อให้เราได้พิจารณาถึง วิธีคิด, มุมอง, วุฒิภาวะ, และวิสัยทัศน์ ของ2อดีตนายกฯ โดยใช้เนื้อหาจากคลิปวันเกิดคุณพ่อผม และการปราศรัยพูดถึงการปรองดองของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ฝ่ายหนึ่งมีตัวช่วยเป็นพี่น้องประชาชน และบัตรเลือกตั้งคนละ 1ใบ เลือกตั้งกี่ครั้งก็ชนะขาด แต่ต้านทานอำนาจของรถถังและการรัฐประหาร ตลอดจนกระบวนการยุติธรรมแบบ 2มาตรฐานไม่ไหว จึงต้องจากบ้านเกิดเมืองนอน พลัดพรากจากลูกเมียจนทุกวันนี้ ได้ออกมาวิงวอนขอให้ทุกฝ่ายเลิกใส่หน้ากากเข้าหากัน ลดทิฐิมานะของตัวเองหันหน้ามาคุยกัน เพื่อให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้
อีกฝ่ายหนึ่งมีตัวช่วยเป็นอำมาตย์ รถถังและค่ายทหาร พรรคฯของตนเองได้เป็นรัฐบาลแทบทุกครั้งจากวิกฤติของประเทศ เคยเสนอขอ นายกฯพระราชทาน โดยอ้างว่ารัฐธรรมนูญมาตรา 7สามารถกระทำได้ ผลปรากฏว่าหน้าแหก หมอไม่รับเย็บกลับมา ได้กล่าวคำที่ไม่น่าเชื่อว่าจะออกจากปาก ของคนที่อยู่ในฝั่งผู้ดีไม่ใช่ฝั่งไพร่ว่า "ให้ไปปรองดองกับเหี้ย" เหตุผลเพียงเพราะว่า ตนเองไม่เห็นด้วยกับการปรองดอง
ลองดูกันครับ เป็นคลิปสั้นๆไม่ยาวเลย เหี้ยเต็ม2หูชัดเจน โดยต่างคนต่างก็พูดกันคนละเวที แต่ได้สะท้อนเห็นแง่คิดและมุมมอง ของแต่ละฝ่ายที่เป็นปัจจุบันได้อย่างชัดเจน คิดไปกันคนละทางแบบนี้ ทางออกของประเทศไทย คงจะอยู่ไกลกว่าที่คิดครับ
ถ้าชนชั้นผู้นำยังไม่ฟังเสียงประชาชน ไม่เอาประชาชนเป็นศูนย์กลาง ยังคิดว่าการเลือกตั้งไม่ใช่คำตอบสุดท้าย เช่นเดียวกับประเทศที่เขาพัฒนาแล้ว จึงมีการสั่งการ, มีธงจากมือที่มองไม่เห็นมาคอยชี้ว่าใครเป็นคนดี ใครเป็นคนเลว แบบนี้บ้านเมืองสงบยากครับ พี่น้องประชาชนคงยอมทำใจลำบาก
ลองดูคลิปแล้วคอมเม้นต์แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันดูแล้วกันครับ
http://youtu.be/d8ye3XXbvPM
วิสัยทัศน์ทางด้านการปรองดองของ 2อดีตนายกฯ ดูได้ที่นี่ครับ
คลิปสั้นๆนี้ มีคนตัดต่อส่งมาให้ผมดูครับ ช็อตต่อช็อต ประเด็นต่อประเด็น เพื่อให้เราได้พิจารณาถึง วิธีคิด, มุมอง, วุฒิภาวะ, และวิสัยทัศน์ ของ2อดีตนายกฯ โดยใช้เนื้อหาจากคลิปวันเกิดคุณพ่อผม และการปราศรัยพูดถึงการปรองดองของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ฝ่ายหนึ่งมีตัวช่วยเป็นพี่น้องประชาชน และบัตรเลือกตั้งคนละ 1ใบ เลือกตั้งกี่ครั้งก็ชนะขาด แต่ต้านทานอำนาจของรถถังและการรัฐประหาร ตลอดจนกระบวนการยุติธรรมแบบ 2มาตรฐานไม่ไหว จึงต้องจากบ้านเกิดเมืองนอน พลัดพรากจากลูกเมียจนทุกวันนี้ ได้ออกมาวิงวอนขอให้ทุกฝ่ายเลิกใส่หน้ากากเข้าหากัน ลดทิฐิมานะของตัวเองหันหน้ามาคุยกัน เพื่อให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้
อีกฝ่ายหนึ่งมีตัวช่วยเป็นอำมาตย์ รถถังและค่ายทหาร พรรคฯของตนเองได้เป็นรัฐบาลแทบทุกครั้งจากวิกฤติของประเทศ เคยเสนอขอ นายกฯพระราชทาน โดยอ้างว่ารัฐธรรมนูญมาตรา 7สามารถกระทำได้ ผลปรากฏว่าหน้าแหก หมอไม่รับเย็บกลับมา ได้กล่าวคำที่ไม่น่าเชื่อว่าจะออกจากปาก ของคนที่อยู่ในฝั่งผู้ดีไม่ใช่ฝั่งไพร่ว่า "ให้ไปปรองดองกับเหี้ย" เหตุผลเพียงเพราะว่า ตนเองไม่เห็นด้วยกับการปรองดอง
ลองดูกันครับ เป็นคลิปสั้นๆไม่ยาวเลย เหี้ยเต็ม2หูชัดเจน โดยต่างคนต่างก็พูดกันคนละเวที แต่ได้สะท้อนเห็นแง่คิดและมุมมอง ของแต่ละฝ่ายที่เป็นปัจจุบันได้อย่างชัดเจน คิดไปกันคนละทางแบบนี้ ทางออกของประเทศไทย คงจะอยู่ไกลกว่าที่คิดครับ
ถ้าชนชั้นผู้นำยังไม่ฟังเสียงประชาชน ไม่เอาประชาชนเป็นศูนย์กลาง ยังคิดว่าการเลือกตั้งไม่ใช่คำตอบสุดท้าย เช่นเดียวกับประเทศที่เขาพัฒนาแล้ว จึงมีการสั่งการ, มีธงจากมือที่มองไม่เห็นมาคอยชี้ว่าใครเป็นคนดี ใครเป็นคนเลว แบบนี้บ้านเมืองสงบยากครับ พี่น้องประชาชนคงยอมทำใจลำบาก
ลองดูคลิปแล้วคอมเม้นต์แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันดูแล้วกันครับ
http://youtu.be/d8ye3XXbvPM
อาจารย์ภาษาญี่ปุ่นโต้ "เลขากรณ์" บิดเบือน! เผยเป็นนิตยสารความรู้ด้านข่าวสาร การแพทย์และสุขภาพ
จากกรณีที่นายพัสณช เหาตะวานิช เลขาฯส่วนตัวนายกรณ์ จาติกวณิช ได้ออกมาเขียนเฟสบุ้คข้อความบิดเบือน โดยแปลข้อความจากหน้าปกนิตยสารสุขภาพ ที่มีภาพนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร อยู่บนหน้าปก โดยใช้ข้อความว่า "รังไข่ที่แก่ตัวลง และการหาสามี" นั้น
อาจารย์ภาษาญี่ปุ่นท่านหนึ่งได้อ่านนิตยสารดังกล่าว และได้เขียนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับนิตสารฉบับดับกล่าว และส่งมายังทีมงาน จึงขออนุญาติเผยแพร่ข้อเท็จจริงดังนี้
"ได้ไปค้นภาพของนายกรัฐมนตรีในหน้าปกนิตยสารดังกล่าวมาอ่านแล้ว นิตยสารดังกล่าวนี้ชื่อว่า AERA เป็นนิตยสารในเครือ Asahi ซึ่งกำหนดออกเป็นรายสัปดาห์ เป็นนิตยสารที่ประกอบด้วยข่าวสาร ข่าวด้านการแพทย์ สุขภาพ บันเทิง และกีฬา คล้ายๆมติชนรายสัปดาห์ประเทศไทย แต่เนื้อหาจะเป็นอินเตอร์ และสาระเข้มข้นมากกว่า"
"ส่วนข้อความที่เลขากรณ์ อ้างอิงมานั้น เขาคงอ่านแต่อักษรคันจิ ด้านข้างที่เขาพูดเรื่องการดูแลสุขภาพสำหรับสตรีอายุ 35 ปีขึ้นไป ที่มีรังไข่ไม่แข็งแรง มีบุตรยาก สามารถทำกิฟท์ได้" และภายในเล่มก็เป็นสาระทางการแพทย์ทั้งนั้น ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับนายกรัฐมนตรี"
"ภายในบทบรรณาธิการนั้น ก็มีหัวข้อต่างๆ ทั้งสุขภาพ ข่าวสาร กีฬาครบทุกด้าน ส่วนภาพหน้าปกนั้น นิตยสารดังกล่าว ก็จะมีภาพคนดังในประเทศญี่ปุ่นลงหน้าปกเสมอ และในครั้งนี้พิเศษตรงที่ไม่เคยมีภาพของคนไทยบนหน้าปกนิตยสารระดับชาติเลย นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้รับเกียรติเป็นคนไทยคนแรกที่ได้ลงปกนิตยสาร และการได้รับเกียรติเช่นนี้ นั้นหมายถึงการที่คนญี่ปุ่นรู้จักและให้การยอมรับอย่างมาก จึงสามารถลงหน้าปกได้ และเป็นคนไทยคนแรกด้วย"
ส่วนเหตุผลว่าทำไม นิตยสารฉบับนี้ถึงมีบทความด้านการแพทย์เกี่ยวกับการทำกิฟท์นั้น เพราะเหตุว่าปัจจุบันนี้ ผู้หญิงญี่ปุ่นที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไป เริ่มมีปัญหามีบุตรยาก อันมีสาเหตุมาจากรังไข่เสื่อม แล้วสังคมญี่ปุ่นวันนี้กำลังให้ความสนใจเรื่องนี้เป็นอย่างมาก นี่คือเหตุผลที่หัวข้อเรื่อง "รังไข่เสื่อมในหญิงสูงอายุ" จึงมาเป็น "พาดหัวข่าวของหนังสือฉบับนี้"
โอกาสนี้ อาจารย์ด้านภาษาญี่ปุ่นได้คัดลอกข้อความในสารบัญ มาเป็นตัวอย่างด้วย เพื่อยืนยันว่าในสารบัญของหนังสือดังกล่าวนั้น มีหัวข้อที่หลากหลายทั้งด้านการแพทย์ สุขภาพ ข่าวสาร ต่างประเทศ ดังตัวอย่างข้อความต่อไปนี้
อักษรด้านบนขวาสุดของภาพ ที่มีวงกลมไว้ เป็นชื่อบทความด้านการแพทย์เกี่ยวกับสุขภาพของสตรีมีบุตรยาก มีตัวอักษรคำว่า "รังไข่" อันเป็นที่มาของคำบิดเบือนของนายพัสณช เหาตะวานิช |
อาจารย์ภาษาญี่ปุ่นท่านหนึ่งได้อ่านนิตยสารดังกล่าว และได้เขียนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับนิตสารฉบับดับกล่าว และส่งมายังทีมงาน จึงขออนุญาติเผยแพร่ข้อเท็จจริงดังนี้
"ได้ไปค้นภาพของนายกรัฐมนตรีในหน้าปกนิตยสารดังกล่าวมาอ่านแล้ว นิตยสารดังกล่าวนี้ชื่อว่า AERA เป็นนิตยสารในเครือ Asahi ซึ่งกำหนดออกเป็นรายสัปดาห์ เป็นนิตยสารที่ประกอบด้วยข่าวสาร ข่าวด้านการแพทย์ สุขภาพ บันเทิง และกีฬา คล้ายๆมติชนรายสัปดาห์ประเทศไทย แต่เนื้อหาจะเป็นอินเตอร์ และสาระเข้มข้นมากกว่า"
"ส่วนข้อความที่เลขากรณ์ อ้างอิงมานั้น เขาคงอ่านแต่อักษรคันจิ ด้านข้างที่เขาพูดเรื่องการดูแลสุขภาพสำหรับสตรีอายุ 35 ปีขึ้นไป ที่มีรังไข่ไม่แข็งแรง มีบุตรยาก สามารถทำกิฟท์ได้" และภายในเล่มก็เป็นสาระทางการแพทย์ทั้งนั้น ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับนายกรัฐมนตรี"
"ภายในบทบรรณาธิการนั้น ก็มีหัวข้อต่างๆ ทั้งสุขภาพ ข่าวสาร กีฬาครบทุกด้าน ส่วนภาพหน้าปกนั้น นิตยสารดังกล่าว ก็จะมีภาพคนดังในประเทศญี่ปุ่นลงหน้าปกเสมอ และในครั้งนี้พิเศษตรงที่ไม่เคยมีภาพของคนไทยบนหน้าปกนิตยสารระดับชาติเลย นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้รับเกียรติเป็นคนไทยคนแรกที่ได้ลงปกนิตยสาร และการได้รับเกียรติเช่นนี้ นั้นหมายถึงการที่คนญี่ปุ่นรู้จักและให้การยอมรับอย่างมาก จึงสามารถลงหน้าปกได้ และเป็นคนไทยคนแรกด้วย"
ส่วนเหตุผลว่าทำไม นิตยสารฉบับนี้ถึงมีบทความด้านการแพทย์เกี่ยวกับการทำกิฟท์นั้น เพราะเหตุว่าปัจจุบันนี้ ผู้หญิงญี่ปุ่นที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไป เริ่มมีปัญหามีบุตรยาก อันมีสาเหตุมาจากรังไข่เสื่อม แล้วสังคมญี่ปุ่นวันนี้กำลังให้ความสนใจเรื่องนี้เป็นอย่างมาก นี่คือเหตุผลที่หัวข้อเรื่อง "รังไข่เสื่อมในหญิงสูงอายุ" จึงมาเป็น "พาดหัวข่าวของหนังสือฉบับนี้"
โอกาสนี้ อาจารย์ด้านภาษาญี่ปุ่นได้คัดลอกข้อความในสารบัญ มาเป็นตัวอย่างด้วย เพื่อยืนยันว่าในสารบัญของหนังสือดังกล่าวนั้น มีหัวข้อที่หลากหลายทั้งด้านการแพทย์ สุขภาพ ข่าวสาร ต่างประเทศ ดังตัวอย่างข้อความต่อไปนี้
女性 婚前卵活で産みたい 「仕事+若い卵」へ30前に卵子凍結/個人精子バンクで独身でも子ども/凍結で増える高齢出産 本誌記者〈独身35歳〉が挑戦した卵活
社会 美白化粧品というリスクと安全性 カネボウ被害者が語る恐怖「顔が赤くザラザラ」/「薬用」など効能の見抜き方
企業 ヤフーR40経営で絶好調 45歳宮坂学社長就任で一変、2ケタ増収増益/アナリスト評「スピード経営のお手本」
教育 受験 大分県立高生がハーバードに行けた勉強法
学校 海外名門大に行ける中高一貫 渋谷幕張、海陽、海城、武蔵、立教女/AO入試対策、英語漬け合宿
健康 熱中症こんな人がハイリスク 持病と最悪の症状
就職 内定につながる自分磨き“鉄板”バイト
ネット 現役ハッカーが明かす強奪の最新手口
旅行 外国人を引きつけるヒロシマの「意外な歩き方」
文化 イスラエルで最も有名な日本人「のり子さん」
アート パワーズ・コレクションとポップアート半世紀
文化 もうMANGAは卒業 パリジェンヌと弓道
犯罪 石井光太×元リーダー 「関東連合を生んだ時代と街」
英国 英ロイヤルベビーの出産初めてづくし
柔道 上村全柔連会長への最後通牒 7・30解任動議前に評議員59人緊急独自調査/新会長はあの人
選挙 共産党躍進支えた「新人類」 氷河期世代、脱原発… 山本太郎16歳の「ダンス甲子園」時代に見せた反骨 投票率1%↓で若者13万円の損
表紙の人 インラック・シナワット・タイ首相
現代の肖像 磯田道史・歴史学者/高瀬 毅
"หน้ากากวี" ยกเลิกชุมนุม 4 ส.ค.นี้ แฉเหตุ! "หนุมานอาสา ติดอาวุธเข้าที่ชุมนุม"
วันที่ 30 กรกฏาคม 2556 (go6TV) รายงานข่าวแจ้งว่ามีเพจ V For Thailand ได้ประกาศงดการเข้าร่วมชุมนุมกับกลุ่มม็อบแช่แข็ง2 เนื่องจากมีข้อมูลว่า "กลุ่มหนุมานอาสา มีการติดอาวุธเข้าชุมนุม" จึงเกรงว่าจะเป็นอันตรายและสร้างสถานการณ์กันเองในกลุ่ม เพื่อความปลอดภัย กลุ่ม V For Thailand จึงมีประกาศ "งดร่วมการชุมนุม" จนกว่าจะมีประกาศเปลี่ยนแปลง
กลุ่มหนุมานอาสานั้น คือกลุ่มหนุมานอาสาปกป้องสถาบัน ซึ่งเป็นกลุ่มการ์ดพันธมิตรที่มารวมตัวอยู่ที่สนามหลวง เป็นการ์ดพันธมิตรเดิมสมัยปี 51 และมาทำหน้าที่ช่วยดูแลความปลอดภัยในครั้งนี้ จนล่าสุด ณ ขณะนี้ ก็ยังไม่มีคำชี้แจงใดๆจากกลุ่มหนุมานอาสาปกป้องสถาบัน
คนล้นแห่งฟัง "ชัชชาติ สิทธิพันธุ์" บรรยายโครงการ "เชื่อมภาค เชื่อมชีวิต บูรณาการทุกทิศสู่ความเจริญ"
เวลา 14.15 น. วันที่ 30 กรกฎาคม นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมกล่าวปาฐกถาพิเศษหัวข้อ "เชื่อมภาค
เชื่อมชีวิตบูรณาการทุกทิศสู่ความเจริญ" ดังนี้
ไม่อยากพูดว่าพ.ร.บ.นี้่คือพ.ร.บ.เงินกู้ 2ล้านล้าน
แต่นี่คือพ.ร.บ.พลิกโฉมประเทศขั้นพื้นฐานภายใน 7 ปีสำหรับผม 2 ล้านล้านไม่สำคัญ
แต่คีย์เวิร์ดคือ 7 ปี และโครงการทั้งหมด 53โครงการที่มีรายละเอียดชัดเจน
ซึ่งต้องดำเนินไปตามกฎหมายและหากไม่ผ่านก็ไม่สามารถนำเงินกู้ออกมาใช้ได้
ช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เราสูญเสียโอกาส เรียกว่านี่คือ
"ทศวรรษที่สูญหาย" จากตัวเลขการแข่งขันหลายสาขาประเทศไทยแย่ลงทุกสาขา
ไม่ว่าจะเป็นด้านถนน รถไฟ เรือ หรือ อากาศ
ที่และที่ผ่านเราไม่มีการลงทุนโครงสร้างขนาดใหญ่ ดังนั้นอนาคตเรามอง 4 ที่สำคัญ
คือ Growth Engine ได้แก่
1.ธุรกิจท่องเที่ยวและบริการ 2.การเชื่อมโยงเออีซี ตลาดแหล่งทรัพยากร พลังงาน 3.การพัฒนาสู่สังคมเมืองกระจายความเจริญไปต่างจังหวัดและเมืองชายแดน
และ 4.การอุปโภคบริโภคภายในประเทศซึ่งทั้ง 4 ตัวนี้
ขึ้นอยู่กับโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคม
ถ้าถามว่าเราได้อะไรจากการลงทุนโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศอาจจะมองว่าเราเน้นรถไฟความเร็วสูงแต่ความจริงไม่ใช่แค่รถไฟโครงการรถไฟลงทุนเพียง39.2%เท่านั้น
เรายังจะมีมอเตอร์เวย์ 3 สายทำถนนเส้นหลักจาก 2 เลนเป็นถนน 4
เลนสร้างสะพานข้ามจุดตัดรถไฟ มีสถานีขนส่งสินค้า 15
แห่งกระจายตามหัวเมืองใหญ่มีท่าเรือใหม่ ส่งเสริมการขนส่งทางแม่น้ำ มีด่านศุลกากร
40กว่าแห่ง
นี่คือโครงการยุทธศาสตร์ประเทศไทยจริงๆซึ่งไม่เกี่ยวกับเรื่องการเมือง
มีการวางแผนการใช้งบประมาณตามยุทธศาสตร์แห่งชาติในพ.ร.บ.งบประมาณเน้นไปทำเรื่องหลักที่เป็นกระดูกสันหลังและเส้นเลือดใหญ่ของประเทศส่วนเรื่องย่อยๆเช่นถนนสายย่อยนั้นจะอยู่ในงบประมาณประจำปีตามปกติซึ่งเมื่อรวมกันแล้วจะเป็นภาพรวมทั้งประเทศ
สำคัญที่สุดคือพ.ร.บ.งบประมาณ 2 ล้านล้านบาทไม่ได้ใช้ทีเดียวทั้งหมด
หากกฎหมายผ่านปีแรกเราจะทยอยใช้ตามความจำเป็น
กฎหมายทุกฉบับต้องได้รับการปฏิบัติอย่างเข้มงวดไม่ว่าจะเป็น EIA EHIA ประชาพิจารณ์หากอันไหนไม่ผ่านเราก็ยังทำไม่ได้
ไม่มีการชอร์ตคัท หรือ หลีกเลี่ยงและทุกอย่างทยอยทำในระยะเวลา 7 ปี
ประเทศไต้หวัน ที่มีรถไฟความเร็งสูง ลดความแออัดในเมือง
เกิดเมืองใหม่กระจายคนออกไปซึ่งประเทศไทยทำได้ อาทิใช้ปากช่อง หัวหิน นครปฐม
สร้างเมืองใหม่ตามเส้นทางได้
โดยจากจุดเหล่านี้สามารถทะลุเข้าไปในเมืองต่อที่สถานีบางซื่อขึ้นรถไฟฟ้าซึ่งเปลี่ยนชีวิตคนได้
ทั้งมิติทางสังคมและมิติทางเศรษฐกิจ เช่น
รถไฟชินคังเซ็นในญี่ปุ่นก่อสร้างเสร็จมีเศรษฐกิจที่ตามขึ้นมา
รถไฟความเร็วสูงไม่ใช่แค่เรื่องซื้อตั๋วแต่ได้ความเจริญที่ตามมาด้วย เป็น GrowthEngine ซึ่งเป็นการสร้างเศรษฐกิจและมูลค่าเพิ่มที่มากับ
(รถไฟ) ความเร็วสูง
ขณะที่ในเวลาเดียวกัน ร่างพ.ร.บ.2
ล้านล้านยังดำเนินการอยู่เราได้ทำอีไอเอ เอชไอเอควบคู่กันไปด้วย
เพื่อให้เตรียมพร้อมต่อการดำเนินการได้ทันที
รัฐบาลยืนยันว่าควรทำโครงการ2
ล้านล้านเป็นตัวผลักดันเศรษฐกิจและกระจายความเจริญโดยให้ความสำคัญกับมูลค่าของเวลาที่เสียไปถามว่าสร้างหนี้2ล้านล้าน
จะสร้างวันนี้หรือในอนาคตที่มีค่าเสียเวลา
ต้นทุนเพิ่มขึ้นและน้ำมันที่เสียไปปีละแสนล้าน
ต้องคิดต้นทุนของการไม่ทำเท่าไหร่ด้วยแต่ต้นทุนของการทำ 2 ล้านล้าน
รถไฟรางคู่ถ้าไม่ทำวันนี้ต้นทุนอนาคตเพิ่มขึ้น 2 เท่า ดังนั้นหัวใจของ พ.ร.บ.
2ล้านล้านนี้คือเรื่องเวลา ไม่ใช่เรื่องเงิน
เราต้องทำเวลาให้พร้อมต่อการพัฒนาของโลก
โครงการเมกะโปรเจ็กต์ส่วนใหญ่เราใช้เงินกู้ทำ
ส่วนงบประมาณแผ่นดินไม่ได้จ่ายตรงโครงการ เป็นการจ่ายคืนเงินกู้
แนวปฏิบัติของพ.ร.บ.นี้ไม่ต่างกัน ใช้เงินกู้เป็นการจ่ายโครงการ
ซึ่งที่ผ่านมาไปเข้าใจผิดว่า เอางบประมาณไปจ่ายค่าโครงการโดยตรง แต่เรากู้เงิน
แล้วนำงบฯรายปีไปจ่ายเงินกู้
ที่ผ่านมา
งบฯรายปีไม่สามารถทำได้สะดวกเพราะไม่สามารถวางแผนต่อเนื่องได้ แต่การวางแผนงบฯ 7
ปี ทุกคนเห็นนักลงทุนเห็นว่า 7 ปีเราจะดำเนินการอย่างไร แต่กรอบ 7
ปีเราจะเห็นวงเงินและหนี้สาธารณะ ถ้าใช้งบฯ ปกติวิธีการคือต้องตั้งงบฯ
ผูกพันจะเป็นภาระรัฐบาลต่อไปมาก
แต่แยกต่างหากจะบริหารได้ชัดเจนลงไปในโครงสร้างพื้นฐาน
ผ่านการตรวจสอบที่เข้มข้นและชัดเจน
คนคิดว่า 2 ล้านล้านจะโกงเป็นเรื่องที่เรากังวลเหมือนกัน
แต่ต้องแยกจากกันระหว่างการโกงกับความจำเป็นของโครงการพอเอาความโกงไปติดกับโครงการว่าอย่าทำเพราะจะโกงเป็นเหตุผลที่ผิดดังนั้นต้องมาร่วมมือกันตรวจสอบให้เข้มข้นทั้งภาครัฐและเอกชนและแยกความจำเป็นของโครงการที่มองว่าถ้าเหมาะสมต้องทำทางกระทรวงคมนาคมพยายามทำให้โปร่งใสนำข้อมูลขึ้นเว็บไซต์ออกระเบียบตั้งราคาประมูลกลางร่วมมือกับภาคเอกชนและตั้งผู้สังเกตการณ์มาร่วม
ซึ่งค่อยๆเริ่มพัฒนาระบบตรวจสอบไปถ้าเราผ่านจุดนี้ได้ ความโปร่งใสทั้งระบบจะดีขึ้น
ยืนยันว่าคนที่ยังไม่เชื่อมั่นขอให้มาร่วมกันช่วยให้คำแนะนำเพราะเราพร้อมให้ตรวจสอบ
โครงการผ่านการคิดมาระยะหนึ่งแล้ว
และหลายโครงการมีการทำการศึกษาระยะหนึ่งขณะที่บางโครงการเป็นโครงการเก่าที่มีการศึกษาไว้แล้วสามารถทำได้เลยเรามีชัดเจนว่าโครงการใดทำโครงการใดไม่ทำ
โดยความคืบหน้าการลงทุนรถไฟความเร็วสูงเรามองผลประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อมเราคำนวณโดยใช้หลักวิทยาศาสตร์ว่าคนจะเปลี่ยนจากรถเครื่องบินมาโดยสารรถไฟความเร็วสูงกี่เปอร์เซ็นต์ซึ่งเรามีตัวเลขทั้งหมดและยืนยันว่าไม่มั่ว
ทุกอย่างเป็นหลักวิชาการที่ต้องทำ ถ้าไม่ทำก็จะแย่
รถไฟความเร็วสูงมีส่วนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานกับการทำธุรกิจเดินรถทั้งสองส่วนนี้ถ้าการรถไฟแห่งประเทศไทย(ร.ฟ.ท.)ทำได้ก็จะให้ทำแต่ต้องดูเข้มแข็งแค่ไหนถ้ายังไม่ได้ให้บริษัทลูกของ
ร.ฟ.ท.ดำเนินการ
(ข่าวจากประชาชาติธุรกิจออนไลน์)
ช่อง9-NBT-เอเชียอัพเดท-วิทยุ92.5 ถ่ายสด "Moving Forward 2 ล้านล้านฯ"
วันนี้ (30 กรกฎาคม) ในเวลา 13.30 น. นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และ นายชัชชาติ สิทธิพันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม จะเข้าร่วมงานเสวนา "Moving Forward 2 ล้านล้าน ขับเคลื่อนไทยทัดเทียมโลก" ที่ ห้องบอลรูม ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ซึ่งจัดโดยสำนักบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) กระทรวงการคลัง และกระทรวงคมนาคม โดยการเสวนาครั้งนี้จะตอบคำถามเกี่ยวกับการใช้เงินกู้ 2 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นนโยบายของรัฐบาล โดย
- นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังจะเสวนาในหัวข้อ "ก้าวเดินไปข้างหน้า เพื่อเศรษฐกิจการค้าและการลงทุน"
- นายชัชชาติ สิทธิพันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม จะเสวนาในหัวข้อ "เชื่อมภาค เชื่อมชีวิต บูรณาการทุกทิศสู่ความเจริญ"
การเข้าฟังการเสวนาครั้งนี้ สามารถเข้าฟังได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย และสามารถติดตามรับชมและฟังได้ทางสถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์ สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ช่อง 11 กรมประชาสัมพันธ์ หรือเอ็นบีที สถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมเอเชียอัพเดท และสามารถรับฟังการถ่ายทอดเสียงทางสถานีวิทยุเอฟเอ็ม 92.5 เมกะเฮิรตซ์ ตั้งแต่เวลา 13.30-16.00 น.
ป้ายกำกับ:
Moving Forward 2 ล้านล้าน
สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ จัดสัมมนา “Moving Forward 2 ล้านล้านบาท ขับเคลื่อนไทยทัดเทียมโลก”
สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.)ขอเชิญเข้าร่วมการสัมมนา “Moving Forward 2 ล้านล้านขับเคลื่อนไทยทัดเทียมโลก” ณ ห้องบอลรูม ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ในวันที่ 30 กรกฎาคม 2556 เวลา 12.30-16.00น. โดยมีนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ร่วมเสวนาในหัวข้อ ก้าวเดินไปข้างหน้าเพื่อเศรษฐกิจการค้าและการลงทุน
30 กรกฎาคม 2556 go6TV - นางสาวจุฬารัตน์ สุธีธร ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง เปิดเผยว่าในวันนี้จะมีการจัดสัมมนาเรื่อง “Moving Forward 2 ล้านล้าน ขับเคลื่อนไทยทัดเทียมโลก” ณ ห้องบอลรูม ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ระหว่างเวลา 12.30-16.30 น.
งานนี้จัดขึ้นเพื่อเป็นการสร้างความรู้ความเข้าใจพร้อมเปิดโอกาสให้ประชาชนแสดงความคิดเห็นต่อร่างพระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ พ.ศ. ....ซึ่งร่าง พ.ร.บ. จัดทำขึ้นเพื่อรองรับการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานภายใต้ยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศที่ตอบสนองเป้าหมายการพัฒนาประเทศทั้งทางด้านเศรษฐกิจและสังคม ประกอบด้วย 3 ยุทธศาสตร์หลัก ได้แก่ 1) ยุทธศาสตร์ปรับเปลี่ยนรูปแบบการขนส่งสินค้าทางถนนไปสู่การขนส่งที่ต้นทุนต่ำกว่า 2) ยุทธศาสตร์พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกในการเดินทางและขนส่งไปสู่ศูนย์กลางของภูมิภาคทั่วประเทศและเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน และ 3) ยุทธศาสตร์พัฒนาและปรับปรุงระบบขนส่งเพื่อยกระดับความคล่องตัวอันจะเป็นการอำนวยความสะดวกด้านคมนาคมแก่ประชาชนทั้งในพื้นที่ชนบท พื้นที่เมือง และพื้นที่เศรษฐกิจที่สำคัญ รวมทั้งเป็นการเชื่อมโยงฐานการผลิตกับฐานการส่งออกระหว่างภูมิภาคต่างๆ ของประเทศและประเทศเพื่อนบ้าน โดยโครงการลงทุนจะครอบคลุมทั้งด้านระบบการขนส่งทางราง อาทิ โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ โครงการรถไฟความเร็วสูง ระบบการขนส่งทางถนนอาทิ โครงการก่อสร้างทางหลวงและทางหลวงชนบทระบบการขนส่งทางน้ำ อาทิ โครงการก่อสร้างท่าเรือและท่าเทียบเรือ เป็นต้น และโครงการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านศุลกากรโดยภายในงานจะเปิดโอกาสให้ประชาชนได้มีโอกาสซักถามในทุกประเด็นที่เกี่ยวข้องเพื่อสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชน
ในโอกาสนี้ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง จะขึ้นกล่าวปาฐกถาหัวข้อ “ก้าวเดินไปข้างหน้า เพื่อเศรษฐกิจการค้าและการลงทุน” และนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวปาฐกถาหัวข้อ “เชื่อมภาค เชื่อมชีวิต บูรณาการทุกทิศสู่ความเจริญ” จากนั้นจะเป็นการเสวนาในหัวข้อ “2 ล้านล้าน ขับเคลื่อนไทยทัดเทียมโลก” โดยผู้เชี่ยวชาญในวงการเศรษฐกิจการค้าการลงทุนของเมืองไทยได้แก่ นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย นายกลินท์ สารสิน กรรมการเลขาธิการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยนางปิยะมาน เตชะไพบูลย์ ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย นายพงษ์ศักดิ์ ยิ่งชนม์เจริญ นายกเทศมนตรีนครยะลา และนายศุภชัย เจียรวนนท์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานคณะผู้บริหารบริษัท ทรูคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)
สำหรับประชาชนที่สนใจเข้าร่วมงานสัมมนา “Moving Forward 2 ล้านล้าน ขับเคลื่อนไทยทัดเทียมโลก” สามารถร่วมงานได้ฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย ณ ห้องบอลรูม ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ระหว่างเวลา 12.30-16.30 น. สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร. 02-580-0021 ต่อ 1505
30 กรกฎาคม 2556 go6TV - นางสาวจุฬารัตน์ สุธีธร ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง เปิดเผยว่าในวันนี้จะมีการจัดสัมมนาเรื่อง “Moving Forward 2 ล้านล้าน ขับเคลื่อนไทยทัดเทียมโลก” ณ ห้องบอลรูม ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ระหว่างเวลา 12.30-16.30 น.
งานนี้จัดขึ้นเพื่อเป็นการสร้างความรู้ความเข้าใจพร้อมเปิดโอกาสให้ประชาชนแสดงความคิดเห็นต่อร่างพระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ พ.ศ. ....ซึ่งร่าง พ.ร.บ. จัดทำขึ้นเพื่อรองรับการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานภายใต้ยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศที่ตอบสนองเป้าหมายการพัฒนาประเทศทั้งทางด้านเศรษฐกิจและสังคม ประกอบด้วย 3 ยุทธศาสตร์หลัก ได้แก่ 1) ยุทธศาสตร์ปรับเปลี่ยนรูปแบบการขนส่งสินค้าทางถนนไปสู่การขนส่งที่ต้นทุนต่ำกว่า 2) ยุทธศาสตร์พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกในการเดินทางและขนส่งไปสู่ศูนย์กลางของภูมิภาคทั่วประเทศและเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน และ 3) ยุทธศาสตร์พัฒนาและปรับปรุงระบบขนส่งเพื่อยกระดับความคล่องตัวอันจะเป็นการอำนวยความสะดวกด้านคมนาคมแก่ประชาชนทั้งในพื้นที่ชนบท พื้นที่เมือง และพื้นที่เศรษฐกิจที่สำคัญ รวมทั้งเป็นการเชื่อมโยงฐานการผลิตกับฐานการส่งออกระหว่างภูมิภาคต่างๆ ของประเทศและประเทศเพื่อนบ้าน โดยโครงการลงทุนจะครอบคลุมทั้งด้านระบบการขนส่งทางราง อาทิ โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ โครงการรถไฟความเร็วสูง ระบบการขนส่งทางถนนอาทิ โครงการก่อสร้างทางหลวงและทางหลวงชนบทระบบการขนส่งทางน้ำ อาทิ โครงการก่อสร้างท่าเรือและท่าเทียบเรือ เป็นต้น และโครงการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านศุลกากรโดยภายในงานจะเปิดโอกาสให้ประชาชนได้มีโอกาสซักถามในทุกประเด็นที่เกี่ยวข้องเพื่อสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชน
ในโอกาสนี้ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง จะขึ้นกล่าวปาฐกถาหัวข้อ “ก้าวเดินไปข้างหน้า เพื่อเศรษฐกิจการค้าและการลงทุน” และนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวปาฐกถาหัวข้อ “เชื่อมภาค เชื่อมชีวิต บูรณาการทุกทิศสู่ความเจริญ” จากนั้นจะเป็นการเสวนาในหัวข้อ “2 ล้านล้าน ขับเคลื่อนไทยทัดเทียมโลก” โดยผู้เชี่ยวชาญในวงการเศรษฐกิจการค้าการลงทุนของเมืองไทยได้แก่ นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย นายกลินท์ สารสิน กรรมการเลขาธิการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยนางปิยะมาน เตชะไพบูลย์ ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย นายพงษ์ศักดิ์ ยิ่งชนม์เจริญ นายกเทศมนตรีนครยะลา และนายศุภชัย เจียรวนนท์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานคณะผู้บริหารบริษัท ทรูคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)
สำหรับประชาชนที่สนใจเข้าร่วมงานสัมมนา “Moving Forward 2 ล้านล้าน ขับเคลื่อนไทยทัดเทียมโลก” สามารถร่วมงานได้ฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย ณ ห้องบอลรูม ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ระหว่างเวลา 12.30-16.30 น. สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร. 02-580-0021 ต่อ 1505
ป้ายกำกับ:
Moving Forward 2 ล้านล้าน
วันจันทร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
เผยโฉม 10 การ์ดพันธมิตรฯ ร่วมชุมนุม "ม็อบกากขาว"
วันที่ 29 กรกฏาคม 2556 (go6TV) มีรายงานข่าวแจ้งว่า เจ้าหน้าที่ได้เผยแพร่ภาพชายผู้ต้องสงสัย ที่เคยเป็นการ์ดพันธมิตรตั้งแต่สมัยปี 2549 และเข้าร่วมการชุมนุมกับกลุ่มหน้ากากขาวโดยทำหน้าที่เป็นการ์ดรักษาความปลอดภัยให้กับกลุ่มผู้ชุมนุม หลายคนเป็นแกนนำการ์ดและมีคดีอาญาติดตัว ดังนี้
ภาพจากคลิป โดย จีรพงษ์ ประเสริฐพลกรัง .
ภาพจากคลิป โดย จีรพงษ์ ประเสริฐพลกรัง .
"กากขาว" + "ประชาธิปัตย์" เป่าหวีดแฟนคลับเก็บเสื้อผ้า! ปราศรัยค้างคืนบนสกายวอร์ค 31 ก.ค.นี้
สรุปคำปราศรัยเวที สายล่อฟ้า วันเสาร์ที่ 27 กรกฏาคม และตารางเวทีปราศรัยกลางกรุงเทพสัปดาห์นี้
1. นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ กล่าวว่า ให้หัวหน้าพรรคฯ อนุญาตให้ลูกทีมขึ้นเวทีเสธ.อ้ายนำม็อบได้ "วันนี้สังคมไม่ต้องการคนดี แต่ต้องการคนกล้า เพราะฉะนั้นถ้าต้องการชนะ ก็ต้องกล้าที่จะสู้ และเมื่อสู้แล้วอย่าหวังว่าทหารจะออกมาช่วย เพราะทหารกลัวเสื้อแดงมากกว่ากลัวประชาชนที่สุจริต วันนี้ผมรอสัญญาณว่าพรรคจะเป่านกหวีดเมื่อไหร่ และถ้าเป่าผมจะออกไปสู้กับประชาชน และถ้าออกไปสู้แล้วผมจะไม่เห็นว่าประชาชนบาดเจ็บล้มตาย เพราะผมจะตายก่อนในฐานะแกนนำ พร้อมฝากถามนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ว่าจะปล่อยให้ ส.ส.ของพรรคเป็นอิสระเพื่อไปขึ้นเวทีเพื่อต่อสู้ร่วมกับประชาชนได้หรือไม่ เพราะหากสู้เพียงในสภาก็ไม่มีทางชนะ" นายนิพิฏฐ์ กล่าว
2. นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย บอกให้ประชาชนเก็บกระเป๋าเสื้อผ้า เข้ากรุงเทพมาร่วมเวทีผ่าความจริง บนสกายวอร์ค วันที่ 31 ก.ค.นี้ “ขอให้ประชาชนเก็บกระเป๋าแล้วเดินทางเข้ามาในกรุงเทพฯร่วมเวทีผ่าความจริงพรรคประชาธิปัตย์ ที่บริเวณสกายวอล์ก สถานีรถไฟฟ้าช่องนนทรี ในวันที่ 31 ก.ค.นี้ วันดังกล่าวมีความสำคัญ เพราะในวันที่ 1 ส.ค. จะเปิดการประชุมสภา ซึ่งวันดังกล่าวอาจจะมีการยกเว้นข้อบังคับสภาเพื่อนำร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมของนายวรชัย เหมะ ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย หากวันที่ 1 ส.ค. มีการพิจารณาทันที ก็ขอให้ประชาชนมาพบกันได้ทันที”
3. นายยสาทิตย์ วงศ์หนองเตย เปิดเผยตารางเวทีผ่าความจริงดังนี้
a. 31 กรกฏาคม บนสกายวอร์ค สถานีช่องนนทรี
b. 3 สิงหาคม ที่ตลาดปัฐวิกรณ์
c. 4 สิงหาคม ที่โรงเรียนมัธยมประชานิเวศน์ เขตจตุจักร,
d. 5 สิงหาคม ยังไม่กำหนดสถานที่
e. 6 สิงหาคม จัดที่มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
f. 7 สิงหาคม ที่มีการประชุมสภา (ยังไม่ชัดเจน)ฃ
4. นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ธานี เชิญชวนประชาชนออกมาต่อต้านรัฐบาลให้มืดฟ้ามัวดินประกาศ หากสู้ในสภาแล้วแพ้ ให้เป่านกหวีดยาวไม่เลิก "ผมกราบเรียนกับพี่น้อง การต่อสู้ในช่วงนี้ ลุกขึ้นมาแสดงพลัง รัฐบาลจะได้คิดและหยุดการกระทำ แต่ถ้ายังดื้อออกกฎหมาย ไม่ฟังใครกะโหลกหนา เราก็จะลุกขึ้นตบกะโหลกมัน ถึงวันนั้นถ้าล้มรัฐบาลก็ต้องล้มมัน เอาไว้ไม่ได้แล้ว เพราะไม่เห็นกับประชาชนและชาติบ้านเมือง วันนี้สู้ไปตามลำดับขั้นตอน ดูซิว่ายิ่งลักษณ์จะไปอยู่ดูไบหรือเราต้องขุดรูอยู่ ช่วยกันเป็นสมองช่วยกันคิดขั้นตอน ตอนนี้ถ้าอยากเป่านกหวีดก็ให้เป่าไปพลาง ๆ ก่อน ให้รอดูว่าหากวันที่ 7 ส.ค. สู้ในสภาแล้วแพ้ ก็ให้เป่านกหวีดยาวไม่เลิกแล้วเป่าไปทั้งเดือนเลย
วันอาทิตย์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
พรรคฝ่ายค้าน "สม รังสี" ก่อจราจลเผาเมือง หลังผลการเลือกตั้งแพ้ "พรรคฮุนเซน"
รายงานจากกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา เมื่อวันที่ 28 ก.ค. ว่า
การนับคะแนนการเลือกตั้งทั่วไปของกัมพูชา ผลคะแนนเบื้องต้นอย่างไม่เป็นทางการ ปรากฎว่า
พรรคประชาชนกัมพูชา (ซีพีพี) พรรครัฐบาลของสมเด็จ ฮุน เซน นายกรัฐมนตรี ได้ที่นั่ง
ส.ส. 68 ที่นั่ง จากทั้งหมด 123 ที่นั่งในรัฐสภา
ลดลงจากสภาชุดที่แล้ว ซึ่ง ซีพีพีมี ส.ส. 90 ที่นั่ง
ส่วนพรรคกู้ชาติกัมพูชา (ซีเอ็นอาร์พี) แกนนำฝ่ายค้าน นำโดย นายสม รังสี
ที่ถูกตัดสิทธิลงเลือกตั้งในครั้งนี้ ได้ 55 ที่นั่ง
เพิ่มขึ้นจากสภาชุดที่แล้ว 29 ที่นั่ง
ภายหลังการเลือกตั้งเสร็จสิ้น และเริ่มนับคะแนนการเลือกตั้ง
ปรากฏว่าประชาชนผู้สนับสนุนพรรคกู้ชาติกัมพูชา (ฝ่ายค้าน)
ได้ปลุกระดมมวลชนออกมาต่อต้านไม่ยอมรับผลการเลือกตั้ง
โดยใส่ร้ายว่าเป็นการโกงการเลือกตั้งครั้งที่รุนแรงที่สุด และก่อจลาจลเผารถยนต์
อาคารสถานที่จนได้รับความเสียหายในหลายเมือง จนนายสม รังสี
แกนนำฝ่ายค้านต้องรีบออกมาประกาศวิงวอนมวลชนผู้สนับสนุนตนให้อยู่ในความสงบ
หยุดก่อเหตุวุ่นวายโดยทันที
แห่ล่าชายในคลิป อาจพกอาวุธเข้าชุมนุมต้านรัฐบาล
28 กรกฏาคม 2556 go6TV - ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลอดทั้งวันที่ผ่านมา เกิดกระแสข่าวในอินเตอร์เน็ตว่า ชายที่มีลักษณะคล้ายชาวตะวันออกกลางในคลิปที่อ้างตนเองว่าเป็นเครือข่ายใหญ่ระดับโลก จะเข้าร่วมชุมนุมกับกลุ่มผู้ชุมนุมในประเทศไทยที่จะมีขึ้นในวันที่ 4 สิงหาคมนี้ แต่ยังไม่ได้ระบุสถานที่ว่าจะปรากฏตัวที่ใด
ขณะเดียวกัน ผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตต่างส่งต่อข้อความในระบบ "เครือข่ายสังคมออนไลน์" รวมทั้ง "ฟอร์เวิร์ดเมล์" โดยมีเนื้อหาวิงวอนประชาชนชาวไทยที่รักชาติทุกคน หากพบเห็นบุคคลต้องสงสัย เดินทางมาจากภาคใต้ และคาดว่าจะพกพาอาวุธหรือวัตถุระเบิด รวมทั้งหากอ้างว่าจะเข้าร่วมการชุมนุมที่กรุงเทพมหานครในช่วงต้นเดือนสิงหาคม เมื่อพบพิรุธหรือสังเกตเห็นความผิดปกติ อาทิ การหลบเลี่ยงการตรวจค้น ประชาชนสามารถแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ที่จุดตรวจหรือสถานีตำรวจทุกสถานีได้ทันที
ขณะเดียวกัน ผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตต่างส่งต่อข้อความในระบบ "เครือข่ายสังคมออนไลน์" รวมทั้ง "ฟอร์เวิร์ดเมล์" โดยมีเนื้อหาวิงวอนประชาชนชาวไทยที่รักชาติทุกคน หากพบเห็นบุคคลต้องสงสัย เดินทางมาจากภาคใต้ และคาดว่าจะพกพาอาวุธหรือวัตถุระเบิด รวมทั้งหากอ้างว่าจะเข้าร่วมการชุมนุมที่กรุงเทพมหานครในช่วงต้นเดือนสิงหาคม เมื่อพบพิรุธหรือสังเกตเห็นความผิดปกติ อาทิ การหลบเลี่ยงการตรวจค้น ประชาชนสามารถแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ที่จุดตรวจหรือสถานีตำรวจทุกสถานีได้ทันที
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)