ผมไปเดินซื้อของหลังจากว่างจากการประชุม พบว่าที่อิตาลีตอนนี้เขาห้ามใช้จ่ายเงินสดต่อครั้งเกิน 1,000 ยูโร(หรือ 40,000 บาท) และการซื้อของที่นี่โดยนักท่องเที่ยวก็สามารถคืนภาษีมูลค่าเพิ่มได้ประมาณ 13-14% ปรากฎว่ารัฐบาลนึกว่านโยบายนี้จะได้ภาษีมากขึ้น มีการป้องกันการฟอกเงิน ไม่ให้ร้านค้ารับเงินสด ปรากฎว่าร้านค้าพอเห็นลูกค้าใช้เงินสดจำนวนเกินกว่า 1,000 ยูโร ก็ขอเจรจาว่า ถ้าจ่ายเงินสดไม่เอาใบเสร็จและไม่เอาภาษีมูลค่าเพิ่ม(VAT) คืนได้ไหมแล้วเขาจะลดราคาให้ เช่น ซื้อของ 4,000 ยูโร ภาษีมูลค่าเพิ่มก็ประมาณ 500 ยูโร เขาบอกเลยว่า คุณจ่ายเงินสดมา 3,500 ยูโร แล้วไม่ต้องเอาใบเสร็จ สรุปลูกค้าก็ไม่เสียหายอะไร ได้จ่ายเป็นเงินสดได้ แต่รัฐบาลเสียหายเพราะไม่ได้ภาษี
นี่เป็นตัวอย่างให้เห็นว่าการออกนโยบายบางอย่าง ถ้าไม่ติดตามผลจะเห็นว่าบางครั้งเรานึกว่าฉลาดดีแล้ว ผลสุดท้ายก็เสียหาย ผมเจอหลายร้านคล้ายกัน ก็เลยถามเพื่อนชาวอิตาลี เขาเลยยืนยันว่าช่วงนี้เป็นอย่างนี้จริงๆ รัฐบาลได้ภาษีน้อยลง นักท่องเที่ยวก็นิยมจ่ายเงินสดมากขึ้น แม้กระทั่งคนท้องถิ่นก็นิยมประหยัดภาษีโดยใช้เงินสด
มาถึงเมืองไทยบ้าง ท่านอธิบดีกรมสรรพากรคนก่อน เคยแนะนำว่าถ้าเราใช้คอมพิวเตอร์เพื่อเขียนโปรแกรมให้ Match ภาษีซื้อและภาษีขายเข้าหากันจนครบวงจร เราจะได้ภาษีเพิ่มขึ้นอีกปีละ 400,000 ล้านบาท โดยไม่ต้องเพิ่มภาษี เพระเป็นการเก็บภาษีครบวงจรอย่างมีประสิทธิภาพนั่นเองครับ
พรุ่งนี้ขอเล่าเรื่องว่าผมมาทำอะไรที่กรุงโรมเพื่อพี่น้องคนไทยอย่างไร มีอะไรที่เป็นประโยชน์ในอนาคตบ้างนะครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น