วันจันทร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ชีวิต "หมอเหวง" พร้อมหน้าครอบครัว



ม็อบไม่ถึง 500 ทำโวยวาย!! ตำรวจกั้นรั้วขอถนนได้ 2 เลน



ประมวลภาพการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย วันนี้ 28 ก.พ.2554 พล.ต.ท.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล พร้อมด้วย พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล 1 นำกำลังตำรวจประมาณ 700 นาย เข้ารื้อเต็นท์ประมาณ 5-6 เต็นท์ พร้อมกับเปิดการจราจรหน้ากระทรวงศึกษาธิการ 2 เลน ให้รถวิ่งฝ่าฝูงชนเข้ามา ซึ่งเป็นไปตามที่ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรฯ ได้คาดการณ์ไว้ตั้งแต่วานนี้




















วันอาทิตย์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ดูจะๆ!! ใบชันสูตรศพ "ฮิโรยูกิ" นักข่าวญี่ปุ่นระบุ "กระสุนความเร็วสูง" ไม่ใช่ "อาก้า"??






















หมายเหตุ: go6tv ได้รับสำเนาใบชันสูตรนี้จากบุคคลากรทางราชการท่านหนึ่งโดยไม่เปิดเผยหน่วยงาน เจ้าหน้าที่ระบุว่าเป็นเอกสารเบื้องต้นจากการผ่าชันสูตรศพ และเมื่อผ่าศพแล้วจึงบันทึกใส่กระดาษนี้และส่งต่อไปพิมพ์ตามระเบียนราชการ เมื่อเขาพิมพ์มาให้จึงต้องตัดหัวและท้ายกระดาษออกไปเพื่อความปลอดภัย ทางเวปไซด์ได้รับมาเมื่อประมาณวันที่ 25 เมษายน 2553 ก่อนการเข้าสลายการชุมนุมในเดือน พ.ค.53

ทางเวปไซด์เผยแพร่โดยไม่อาจรับรองความมีอยู่จริงของเอกสารแต่อย่างใด แต่หวังให้ได้ศึกษาและตรวจสอบขยายผลจากผู้เชี่ยวชาญเพื่อพิสูจน์ความจริงต่อไป

(ภาพข่าวจากกล้องนักข่าวญี่ปุ่น แสดงจุดชัดเจนว่า ขณะถูกยิงนั้น เขาอยู่ฝั่งผู้ชุมนุม หันหน้าค่อนไปทางฝั่งทหาร อีกทั้งภาพก่อนหน้าโดนยิง จะเห็นภาพทหารถือปืนอาวุธสงคราม ... สันนิษฐานว่าจะเป็นเอ็ม 16...อยู่ฝั่งทหารชัดเจนยืนยันว่า "ทหารมีอาวุธและใช้อาวุธจริง")


เนื้อข่าว: รายงานข่าวจากคณะกรรมการชันสูตรพลิกศพผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ชุมนุมก่อความไม่สงบ เปิดเผยว่า สำหรับผลการสรุปว่านายฮิโรยูกิ มูราโมโตะ ช่างภาพช่าวญี่ปุ่น สำนักข่าวรอยเตอร์ที่ดีเอสไอส่งให้พล.ต.ท.อัมพร จารุจินดา อดีตผบช.สพฐ.ตร และที่ปรึกษากรมสอบสวนคดีพิเศษ ตรวจวิเคราะห์และระบุว่าเป็นการเสียชีวิตจากอาวุธปืนอาก้า คงไม่สามารถทำให้น้ำหนักทางคดีเปลี่ยนแปลงมากนัก เพราะพล.ต.ท. อัมพร ไม่ได้เป็นคณะแพทย์ผู้ตรวจชันสูตรพลิกศพการเสียชีวิตของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) และช่างภาพของสำนักข่าวรอยเตอร์ ชาวญี่ปุ่น จำนวน 11 ราย โดยหลังเกิดเหตุปะทะ 10 เมษายน 53 ศูนย์อำนวยการบริหารสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ได้ติดต่อประสานให้พล.ต.ท.อัมพรเข้าร่วมตรวจสอบและผ่าชันสูตรศพ แต่พล.ต.ท.อัมพร มีภารกิจในต่างประเทศ จึงไม่เข้าร่วมการชันสูตรศพครั้งนั้น

สำหรับผลการชันสูตรผู้เสียชีวิตในวันที่ 10 เม.ย. ระบุว่า ผู้เสียชีวิตในจำนวน 11 ราย 1 รายเป็นผู้สูงอายุเสียชีวิต เพราะหัวใจวาย ส่วนอีก 10 ราย เสียชีวิตเพราะถูกยิงด้วยกระสุนความเร็วสูง กระสุนเจาะเข้าร่างกายใน 2 จุด คือ ศีรษะและเข้าหน้าอกถูกตัดขั้วหัวใจ ในจำนวนดังกล่าวมีเพียง 2 ศพ ถูกยิงที่ขาให้ล้มลง และยิงกระสุนอีกนัดเข้าที่หน้าอกตัดขั้วหัวใจ ส่วนบาดแผลของนายฮิโรยูกิกระสุนเข้าด้านข้างตัดขั้วหัวใจ โดยลักษณะบาดแผลของทุกศพน่าเชื่อได้ว่าผู้ลงมือเป็นนักแม่นปืน ซุ่มตัวเลือกเป้ายิงได้อย่างแม่นยำ ซึ่งการเลือกเป้ายิงในลักษณะสไนเปอร์มักเลือกใช้ปืนเอ็ม 16 มากกว่าปืนอาก้า

อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการฯไม่ได้ระบุว่าผู้เสียชีวิตทั้ง 10 ราย ถูกยิงด้วยอาวุธปืนชนิดใด เนื่องจากการผ่าชันสูตรไม่พบหัวกระสุนปืน จึงรายงานในผลการชันสูตรเพียงว่าเป็นกระสุนปืนความเร็วสูง ดังนั้นจึงเป็นประเด็นคำถามว่าพล.ต.ท.อัมพร ซึ่งไม่ได้ร่วมทีมชันสูตรศพ ได้วิเคราะห์ภาพบาดแผลใดจึงสรุปว่าเป็นบาดแผลจากปืนอาก้า และได้วิเคราะห์ภาพถ่ายของผู้เสียชีวิตรายอื่นหรือไม่ว่าสภาพบาดแผลจากปืนเอ็ม 16 มีความแตกต่างจากปืนอาก้าอย่างไร


แน่ใจหรือว่า "ปฏิวัติ-โดมิโน่" จะอยู่แค่โลกอาหรับ ล่าสุดลามไปเวียดนามแล้ว


Calls for political reform have not been confined to the Arab world.

Al Jazeera has obtained rare footage of a demonstration in Vietnam - a country where political dissent is swiftly put down by the government.

Al Jazeera Steve Chao has an exclusive report.

ธาริตโบ้ยแพะตัวใหม่ "อาก้า"


จากกรณีกรมสอบสวนคดีพิเศษระบุว่าการเสียชีวิตของช่างภาพสำนักข่าวรอยเตอร์ชาวญี่ปุ่นเกิดจากอาวุธอาก้านั้น พ.ต.ท.สมชาย เพศประสริฐ ส.ส.นครราชสีมา พท. ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การทหาร สภาผู้แทนราษฎร กล่าวเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) เคยออกมาบอกว่าปืนอาก้าไม่มีใช้ในกองทัพ ซึ่งไม่เป็นความจริง เพราะกองทัพมีปืนอาก้าใช้ แม้จะเป็นปืนของฝ่ายรัสเซียและจีนก็ตาม แต่พยายามทำให้คนเข้าใจผิดและเลี่ยงความผิด โดยเฉพาะทหารพรานสะพายอาก้าเยอะแยะไปหมด ผบ.ทบ.จะมาปกป้องคนทำผิดไม่ได้ วันนี้กองทัพกล้าเปิดหรือไม่ว่ามีอาก้า ซึ่งนำเข้ามาขึ้นทะเบียนและควบคุมตั้งแต่สมัย พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เป็น ผบ.ทบ. และก็ใช้ต่อเนื่องจากนั้นมา


"ถ้ากองทัพไม่มีอาก้าใช้ ก็แสดงว่าทหารพรานที่ถืออาก้าใช้ปืนเถื่อนหมดเลยหรือ มันเป็นการแก้เกี้ยวหรือไม่ ต้องบอกว่าประชาชนตายเพราะอะไร พลาดไปแล้วต้องแก้ไขไม่ให้เกิดอีก คณะกรรมาธิการการทหารจะตรวจเรื่องนี้ว่ากองทัพมีอาวุธอะไรบ้าง สิ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์พูด เพราะต้องการปกป้องกำลังของกองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ม.2 รอ.) และเตรียมโยนความผิดให้ นปช.อีก แถมวันนี้กระทรวงมหาดไทยก็ซื้ออาก้า 402 มาใช้แล้ว และซื้อแพงด้วย" พ.ต.ท.สมชายกล่าว


ด้านนางธิดา โตจิราการ รักษาการประธานกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ให้สัมภาษณ์ว่า หลักฐานชัดเจนว่านักข่าวชาวญี่ปุ่นถูกยิงอยู่ในฝั่งของคนเสื้อแดง ดังนั้น กระสุนน่าจะมาจากฝั่งตรงข้ามคนเสื้อแดง ดีเอสไอพูดความจริงไม่หมด


ขณะที่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ กล่าวว่า ขณะที่ช่างภาพของญี่ปุ่นเสียชีวิตอยู่ในฝั่งของผู้ชุมนุมคนเสื้อแดง มีพยานให้การว่าเห็นแสงไฟมาจากปากกระบอกปืน ซึ่งน่าจะมาจากด้านหน้าแล้วก็เสียชีวิต ประเด็นจึงอยู่ที่นักข่าวคนดังกล่าวถูกยิงโดยใคร ไม่ใช่ว่าถูกยิงด้วยอาวุธชนิดไหน แต่คนที่สามารถจัดสรรอาวุธทุกชนิดได้ในประเทศไทยนั้น คือหน่วยงานด้านความมั่นคง ดังนั้น เรื่องนี้ต้องไปหาคนที่ยิงมาให้ได้ ไม่ใช่มาพูดกันว่าถูกยิงจากอาวุธชนิดไหนกันแน่


ก่อนหน้านี้ นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กล่าวถึงผลตรวจสอบการเสียชีวิตของนายฮิยูกิ มูราโมโต้ ช่างภาพสำนักข่าวรอยเตอร์ชาวญี่ปุ่นว่า โดยยอมรับว่าผลการตรวจสอบการเสียชีวิตเกิดจากอาวุธอาก้าจริง และพล.ต.ท.อัมพร จารุจินดา อดีต ผบช.สพฐ.ตร. ใช้เวลาวิเคราะห์ภาพถ่าย รวมทั้งผลชันสูตรจากแพทย์มาประกอบข้อมูล การวิเคราะห์ก่อนจะสรุปผลออกมาว่าเป็นอาก้า ดังนั้น จึงทำให้ข้อสงสัยเดิมที่ระบุว่าอาจจะเกิดจากเจ้าหน้าที่ก็เปลี่ยนแปลงไปนั้น

ผู้สื่อข่าวถามว่า การเสียชีวิตของกลุ่ม นปช.ในวันเกิดเหตุเดียวกัน พล.ต.ท.อัมพรสามารถระบุจากภาพถ่าย บาดแผลกระสุนปืนได้หรือไม่ นายธาริตกล่าวว่า คงตอบไม่ได้เพราะไม่แน่ใจว่า พล.ต.ท.อัมพรตรวจสอบกรณีของบุคคลใดบ้าง เมื่อถามว่า ผลจากการตรวจสอบปรากฏออกมาแบบนี้เหมือนกับปกป้องเจ้าหน้าที่รัฐหรือไม่ เนื่องจากกองทัพเคยยืนยันหลายครั้งว่าไม่มีอาก้าประจำการ นายธาริตกล่าวว่า ไม่ได้ทำให้ผลออกมาเพื่อช่วยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่ทำไปตามข้อเท็จจริง

ส่วนนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง กล่าวว่า ยังไม่ได้รับรายงานจากดีเอสไอ ทราบเพียงแต่ข่าวจากสื่อมวลชน แต่ข้อเท็จจริงเรื่องการเสียชีวิตของช่างภาพรอยเตอร์เป็นอย่างไร ต้องว่าไปตามหลักฐาน และจะติดตามดูเรื่องนี้ต่อไป


จาตุรนต์: มีสองสัญชาติ...เป็นนายกฯไม่ได้

บทความ "มี 2 สัญชาติเป็นนายกรัฐมนตรีไม่ได้ "
โดย: จาตุรนต์ ฉายแสง


ในระยะหลังนี้ ดูเหมือนคุณอภิสิทธิ์จะอยู่ในสภาพโรคซ้ำกรรมซัด ต้องพบกับปัญหาใหญ่ๆที่ตนเองจัดการอะไรไม่ได้และไม่สามารถใช้ความสามารถในการพูดเอาตัวรอดไปได้ง่ายๆเหมือนระยะก่อนๆ

คุณอภิสิทธิ์ถูกพันธมิตรโจมตีอย่างสาดเสียเทเสียและในหลายเรื่องก็เป็นเรื่องที่แก้ตัวไม่ได้เสียด้วยขณะเดียวกันก็เดินแนวทางที่ผิดพลาดในกรณีความขัดแย้งกับกัมพูชาที่มีแต่จะนำไปสู่ความล้มเหลวเสียหายมากยิ่งขึ้นทุกที ส่วนปัญหาน้ำมันปาล์มที่ทำให้คนเดือดร้อนกันไปทั่วประเทศและใครที่ติดตามเรื่องพอสมควรก็คงจะรู้ว่าผลประโยชน์มหาศาลตกอยู่กับคนของพรรคประชาธิปัตย์เสียเป็นส่วนใหญ่นั้น คุณอภิสิทธิ์ก็กลับทำอะไรไม่ได้หรืออาจจะต้องใช้คำพูดว่าไม่คิดทำอะไรเลย

เรื่องเหล่านี้รวมทั้งกรณีทุจริตหรือความล้มเหลวในการบริหารของคุณอภิสิทธิ์อีกจำนวนมาก ประชาชนทั่วประเทศคงจะรอฟังการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่จะมีขึ้นในเร็วๆนี้อย่างใจจดใจจ่อมากกว่าการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลปัจจุบันในครั้งก่อนๆ และน่าจะพอคาดการณ์ได้ว่าถ้าฝ่ายค้านเตรียมการได้ดีพอสมควรคุณอภิสิทธิ์และรัฐบาลนี้คงอยู่ในสภาพย่ำแย่เต็มทีแน่ๆ

มีเรื่องหนึ่งที่ผมคิดว่าเป็นเรื่องใหญ่ของคุณอภิสิทธิ์และว่าไปแล้วก็ต้องถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ของประเทศไทยเราเสียมากกว่าที่ควรจะนำมาพูดกันให้เกิดความชัดเจนไปเสียโดยไม่ต้องรอจนถึงวันที่จะมีการอภิปรายไม่ไว้ใจก็คือเรื่องที่คุณอภิสิทธิ์มี 2 สัญชาติ

เรื่องนี้เริ่มมาจากมีคนนำเรื่องกรณีการสังหารประชาชนเมื่อเดือนเมษา-พฤษภา ปีที่แล้วไปฟ้องศาลคดีอาญาระหว่างประเทศซึ่งหลายคนเชื่อว่าศาลคงไม่รับฟ้องเพราะรัฐบาลไทยไม่ได้ลงสัตยาบันรับรองอำนาจของศาล แต่ต่อมาก็มีการอธิบายว่าสามารถฟ้องคุณอภิสิทธิ์ได้เนื่องจากคุณอภิสิทธิ์ถือสัญชาติอังกฤษด้วย

เมื่อมีการไปถามคุณอภิสิทธิ์ในตอนแรกๆ คุณอภิสิทธิ์ตอบบ่ายเบี่ยงว่าเลือกที่เกิดไม่ได้และในระหว่างที่อยู่ในประเทศอังกฤษไม่เคยใช้สิทธิของพลเมืองอังกฤษเช่นเวลาเรียนหนังสือก็จ่ายค่าเล่าเรียนอย่างชาวต่างประเทศ แต่ไม่บอกว่ายังมีสัญชาติอังกฤษหรือไม่

ต่อมามีการยกประเด็นขึ้นว่าเนื่องจากคุณอภิสิทธิ์เกิดในประเทศอังกฤษ คุณอภิสิทธ์จึงได้สัญชาติโดยอัตโนมัติตามกฎหมายอังกฤษและตราบใดที่คุณอภิสิทธ์ยังไม่สละสัญชาติอังกฤษ คุณอภิสิทธิ์ก็ยังคงมีสัญชาติอังกฤษด้วยซึ่งก็คือมี 2 สัญชาตินั่นเอง

คุณอภิสิทธิ์บ่ายเบี่ยงไม่ยอมตอบเรื่องนี้ให้กระจ่างอยู่นานจนกระทั่งถูกจี้ถามในสภาฯซึ่งตอนแรกๆก็ยังใช้สำนวนโวหารบ่ายเบี่ยงประเด็นตามที่ถนัดเช่น"อยากถามท่านว่าเป็นคนแจ้งเกิดตัวเองหรือไม่" แต่ในที่สุดก็ยอมรับว่าไม่เคยทำเรื่องสละสัญชาติอังกฤษด้วยเหตุเพราะตนเข้าใจว่าถ้าเป็นกฎหมายที่ขัดกันก็ให้ถือกฎหมายไทยเป็นหลักและตนได้แสดงเจตนามาตลอดว่าใช้สัญชาติไทย

คุณอภิสิทธิ์บอกว่าจะให้สละสัญชาติอังกฤษ สละได้ แต่ถ้าสละตอนนี้ก็อาจถูกหาว่ากลัวจะไปขึ้นศาลโลก คุณอภิสิทธิ์ยังอธิบายต่อไปว่าไม่เคยคิดจะไปหาผลประโยชน์ในประเทศอื่น ที่ทำอยู่คิดถึงแต่ผลประโยชน์ของประเทศไทย และยังบอกด้วยว่าจะให้สละให้เหลือสัญชาติไทยสัญชาติเดียวก็ได้ แต่ถามว่าให้ปฏิบัติอย่างเสมอกันทุกคนเอาไหม

ฟังคุณอภิสิทธิ์อธิบายมาถึงตรงนี้ ผมคิดว่าคุณอภิสิทธิ์เสียศูนย์และผิดพลาดครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งแล้ว ผิดพลาดอย่างไม่น่าเชื่อ จะเป็นเพราะกำลังมีเรื่องหนักๆประเดประดังเข้ามาหรือว่าถนัดแต่การใช้โวหารแบบฉาบฉวยเป็นคราวๆไป พอมาเจอเรื่องยากจริงๆเข้าก็เลยหาคำอธิบายที่เป็นเหตุเป็นผลไม่ได้หรืออย่างไรก็ไม่ทราบ

ผมไม่ได้ต้องการวิเคราะห์เรื่องคุณอภิสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีในศาลคดีอาญาระหว่างประเทศหรือไม่และก็ไม่ได้สนใจว่าคุณอภิสิทธิ์ควรสละสัญชาติอังกฤษหรือไม่ แต่ผมกำลังสนใจกลับเป็นประเด็นว่าเมื่อคุณอภิสิทธิ์เองก็ยอมรับแล้วว่าตนมี 2 สัญชาติและยังยอมรับด้วยว่าจะสละสัญชาติอังกฤษก็ได้แต่ต้องมีเงื่อนไขอย่างนั้นอย่างนี้อย่างที่คุณอภิสิทธิ์ชี้แจงไปนั้น คุณอภิสิทธิ์ยังควรเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยอยู่ต่อไปอีกหรือไม่ หรือถ้าจะพูดให้ถูกต้องยิ่งกว่านั้นก็คือคุณอภิสิทธิ์ควรเป็นนายกรัฐมนตรีมาตั้งแต่ต้นหรือไม่

เข้าใจว่ามีประชาชนไทยจำนวนหนึ่งที่มี 2 สัญชาติอยู่เหมือนกันแต่ก็ดูเหมือนจะไม่ได้เป็นปัญหาใหญ่โตอะไร การจะไปไล่หาทางบังคับให้คนเหล่านั้นสละสัญชาติให้เหลือสัญชาติไทยอย่างเดียวบางทีอาจจะเป็นปัญหากับบ้านเมืองและทำให้ประชาชนเหล่านั้นเดือดร้อนกันเสียเปล่าๆ

แต่คุณอภิสิทธิ์ไม่ใช่ประชาชนทั่วไปแต่เป็นนายกรัฐมนตรี จะอ้างว่าทีคนอื่นถือสัญชาติ 2 สัญชาติได้ ทำไมจะมาให้ตนสละสัญชาติอยู่คนเดียวคงจะอ้างไม่ได้ ส่วนที่บอกว่าไม่ได้เคยคิดหรือทำอะไรเพื่อผลประโยชน์ของประเทศอื่นนั้นก็ไม่ใช่ประเด็นและไม่มีใครกล่าวหาคุณอภิสิทธิ์ในเรื่องนี้ อย่างน้อยก็ในตอนนี้

ประเด็นอยู่ที่ว่าคนจะเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยต้องมีความรับผิดเท่ากับคนไทยทั่วไปไม่ใช่มีอภิสิทธิ์หรือมีภูมิคุ้มกันมากกว่าคนอื่นๆ มิฉะนั้นเวลาที่ทำหน้าที่นายกฯก็อาจจะคิดหรือทำอะไรให้เกิดความเสียหายแก่ประชานหรือแก่บ้านเมืองได้เนื่องจากในใจอาจคิดว่าตนเองมีภูมิต้านทานมากกว่าคนไทยทั่วไปก็ได้

การที่คุณอภิสิทธิ์บอกว่าจะสละสัญชาติอังกฤษก็ได้แต่ไม่สละนั้นมีความหมายว่าไม่ว่าที่ผ่านมาคุณอภิสิทธิ์จะเคยใช้สิทธิของการมีสัญชาติอังกฤษหรือไม่ก็ตาม แต่วันหนึ่งข้างหน้าคุณอภิสิทธิ์อาจจะใช้สิทธิของการมีสัญชาติอังกฤษก็ได้ เช่นถ้าในอนาคตจะมีการดำเนินคดีกับคุณอภิสิทธิ์ในข้อหาสมรู้ร่วมคิดกับรัฐมนตรีในรัฐบาลของตนทุจิตประพฤติมิชอบ หรือสั่งการให้สังหารประชาชนจำนวนมากเป็นต้น แล้วคุณอภิสิทธิ์เกิดเดินทางไปอยู่เสียที่ประเทศอังกฤษแล้วก็ขอใช้สิทธิในฐานะที่มีสัญชาติอังกฤษคุณอภิสิทธิ์ก็ย่อมจะได้รับการคุ้มครองอย่างพลเมืองอังกฤษขึ้นมาทันที เมื่อถึงตอนนั้นข้อตกลงว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดนจะใช้ได้กับคุณอภิสิทธิ์ผู้ถือสัญชาติอังกฤษหรือไม่ ถ้ารัฐบาลไทยหรือประชาชนไทยจะไปร้องต่อศาลอังกฤษเพื่อให้ส่งตัวคุณอภิสิทธิ์มาขึ้นศาลไทยจะทำได้หรือไม่และต้องรออีกเป็นสิบๆปีหรือไม่

กลายเป็นว่าคุณอภิสิทธิ์จะต้องไปขึ้นศาลคดีอาญาระหว่างประเทศหรือไม่ก็น่าสนใจ แต่ตอนนี้กลับมีประเด็นที่น่าเป็นห่วงไม่น้อยเหมือนกันก็คือถึงเวลาที่มีใครจะดำเนินคดีคุณอภิสิทธิ์ในประเทศไทย คุณอภิสิทธิ์อาจจะไม่ต้องขึ้นศาลไทยก็ได้

คุณอภิสิทธิ์อาจจะได้รับการคุ้มครองมากกว่าที่ยกมานี้อีกก็ได้ รายละเอียดคงต้องให้ผู้เชี่ยวชาญช่วยกันศึกษาดู แต่ก็คงไม่ใช่ประเด็นสำคัญในเฉพาะหน้านี้

ประเด็นสำคัญก็คือเชื่อได้แน่ว่าตลอดเวลาที่คุณอภิสิทธิ์เป็นนายกฯมาจนถึงปัจจุบันรวมถึงในอนาคตข้างหน้าไม่ว่าจะยังเป็นนายกฯอยู่หรือไม่ก็ตาม คุณอภิสิทธิ์มีภูมิคุ้มกันต่อกฎหมายไทยมากว่าคนอื่นๆ

ผมอธิบายมาถึงตรงนี้ อาจมีบางท่านแย้งว่าถึงแม้จะเป็นเหตุเป็นผลแต่ก็คงไม่เกิดขึ้นในทางปฏิบัติได้ง่ายๆหรอก

กรณีทำนองนี้ไม่ใช่ไม่เคยเกิดมาก่อน เมื่อไม่นานมานี้มีกรณีของประเทศเปรูเป็นตัวอย่าง ประธานาธิบดีของเปรูชื่อนายอัลเบอร์โต ฟูจิมูริ ก็เป็นคนสองสัญชาติ คือสัญชาติเปรูและสัญชาติญี่ปุ่น นายฟูจิมูริถูกรัฐบาลเปรูในเวลาต่อมาดำเนินคดีทั้งเรื่องทุจริตและเรืองการใช้อำนาจโดยมิชอบเป็นข้อหาร้ายแรง มีอยู่ช่วงหนึ่งนายฟูจิมูริได้หนีไปอยู่ในประเทศญี่ปุ่น และในระหว่างนั้นก็ได้รับการคุ้มครองในฐานะเป็นคนญี่ปุ่นจนรัฐบาลเปรูทำอะไรไม่ได้ ต้องรอจนกระทั่งนายฟูจิมูริ ไปวางแฟนยึดอำนาจคืนอยู่ที่ชิลีจึงถูกจับในชิลีและถูกส่งตัวไปดำเนินคดีในเปรู

นายฟูจิมูริกับรัฐบาลเปรูใครผิดใครถูกอย่างไรผมไม่ขอวิจารณ์ แต่เห็นว่ากรณีนี้เป็นตัวอย่างได้อย่างดีว่าการที่นายกรัฐมนตรีของไทยมีสองสัญชาตินั้นเป็นสิ่งที่ไม่ควรให้เกิดขึ้นแน่ด้วยเหตุผลดังที่ได้กล่าวมาแล้ว

มีคนไปถามกกต.ซึ่งเข้าใจว่ายังไม่ทันหาข้อมูลให้ชัดเจนและยังไม่ได้ประชุมหารือกันก็ด่วนออกมาชี้แจงเสียแล้วว่าการที่คุณอภิสิทธ์มีสองสัญชาติไม่ทำให้ขาดคุณสมบัติเพราะมีคุณสมบัติครบถ้วนตามรัฐธรรมนูญ

เรื่องการมีสองสัญชาตินี้ รัฐธรรมนูญไม่ได้ระบุไว้ แต่โดยสามัญสำนึกก็น่าจะเข้าใจได้ไม่ยากว่าระบบกฎหมายของไทยเราไม่น่ายินยอมให้นายกรัฐมนตรีเป็นบุคคลสองสัญชาติไปได้ และถ้าเรื่องนี้ไปสูการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญด้วยวิธีใดก็ตาม หากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าไม่เป็นไรแล้วละก็ คงจะสนุกกันใหญ่ละประเทศไทย

แต่ในขั้นนี้ผมคิดว่ายังไม่น่าใส่ใจกับการไปร้องกับกกต.หรือศาลรัฐธรรมนูญให้มานักเพราะอาจต้องใช้เวลาและไม่เกิดประโยชน์อะไรมากนัก

คงต้องใช้หลักว่าเรื่องนี้เป็นปัญหาทางการเมืองของประเทศ และเมื่อเป็นเรื่องการเมือง ก็ต้องแก้ด้วยการเมือง ฟ้องประชาชนกันดีกว่า

ขอย้ำครับว่าผมไม่ได้กำลังบอกว่าคุณอภิสิทธิ์ควรสละสัญชาติอังกฤษเสีย แต่กำลังบอกว่าคุณอภิสิทธิ์ซึ่งรู้อยู่แก่ใจมาตลอดว่าตนเองมี 2 สัญชาติ จะสละสัญชาติก็ได้แต่ไม่สละนั้น ไม่ควรเป็นนายกฯมาตั้งแต่ต้นและไม่ควรเป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป

ภาพเสื้อแดงล้นวัดปทุมฯ ร่วมทำบุญให้วีรชน 91 ชีวิต



ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อช่วงเช้าวันที่ 27 ก.พ. กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือกลุ่มคนเสื้อแดง ได้รวมตัวทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้เสียชีวิต จากเหตุการณ์ชุมนุมเมื่อเดือนพฤษภาคม 2553 ที่วัดปทุมวนารามราชวรวิหาร ซึ่งพิธีการจะมีไปจนถึงประมาณเวลา 12.00 น.


ด้านพล.ต.ต.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกศูนย์อำนวยการักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) เปิดเผยถึงการดูแลความสงบและรักษาความปลอดภัยว่า ใช้กำลังตำรวจ 19 กองร้อย ดูแลการชุมนุมโดยรอบ รวมถึงทำเนียบรัฐบาลและรัฐสภาด้วย คาดว่าจะมีผู้ชุมนุม 4-5 พันคน และคงจะล้นเข้ามายัง ถ.พระราม อาจส่งผลให้การจราจร ถ.พระราม 1 ช่วงห้างสรรพสินค้าสยาม เซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิล์ด และจุดใกล้เคียงติดขัดได้ จึงแจ้งให้ประชาชนหลีกเลี่ยงเส้นทาง และสอบถามเส้นทางการจราจรได้ที่หมายเลข 1197




ขอบคุณภาพจากพี่ No Name และ Kantitouch จากเฟรซบุ๊ค และคลิปจาก Ari Hacker

ปฏิวัติลามจีน : JASMINE RALLY IS EVERY SUNDAY


Part two of the Sunday afternoon Jasmine tea party is tomorrow. Will you be attending? Here is the information just in case you've not received it yet. Also, we have the Human Rights In China (HRIC) commentary video linked below as well. Please take a couple of minutes to watch - it is quite interesting.

How To Participate:
This is not a violent revolution - it is non-violent non-cooperation. Everyone and anyone should just stroll to the location, watch, or even just pretend to be a passerby. Anyone present will cause the government great concern and will force the expenditure of manpower and other resources.

Unable To Attend? No problem:

If you are unable to participate in the strolls, please tell every Chinese person you know: We need an honest government. We need the right to supervise government tax collection. We need the right to scrutinize officials’ wealth. We need the right to publicly criticize the government. These are fundamental rights of every Chinese person. Non-violent non-cooperation is the only path for Chinese democratization. Use word-of-mouth to break through the news blackout and come show your support. In any event, the protest is every Sunday - please join when you can.

Dates & Times:

Every Sunday at 2PM

Locations:

If your location is not listed here, just go to the city square in the city nearest you.

  1. Beijing: in front of the McDonald’s on Wangfujing Street
  2. Shanghai: in front of Peace Cinema at People’s Square
  3. Tianjin: below the Drum Tower
  4. Nanjing, [Jiangsu Province]: the entrance of Silk Street Department Store at the Drum Tower Square
  5. Xi’an, [Shaanxi Province]: the entrance of Carrefour on Beida Street
  6. Chengdu, [Sichuan Province]: under the Statue of Chairman Mao at Tianfu Square
  7. Changsha, [Hunan Province]: the entrance of Xindaxin Building at Wuyi Square
  8. Hangzhou, [Zhejiang Province]: the entrance of Hangzhou Department Store at Wulin Square
  9. Guangzhou, [Guangdong Province]: in front of the Starbucks at the People’s Park
  10. Shenyang, [Liaoning Province]: in front of the KFC at North Nanjing Street
  11. Changchun, [Jilin Province]: in front of Corogo Supermarket at Democratic Avenue of West Culture Square
  12. Harbin, [Heilongjiang Province]: in front of Harbin Cinema
  13. Wuhan, [Hubei Province]: in front of the McDonald’s at Jiefang Avenue and the World Trade Plaza

วันเสาร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

โอบามายึดทรัพย์บีบ "กัดดาฟีและลูกๆ"


เอเอฟพี - ประธานาธิบดีบารัค โอบามาแห่งสหรัฐฯ วางมาตรการลงโทษประธานาธิบดีโมอัมมาร์ กัดดาฟีแห่งลิเบีย และลูกชายทั้ง 4 คนเป็นการส่วนตัว เป็นความพยายามอย่างชัดเจน ที่จะสั่นคลอนรัฐบาลลิเบีย ซึ่งกำลังโงนเงนของเขา และเป็นการลงโทษต่อการโจมตีประชาชนอย่างโหดเหี้ยม

โอบามาใช้อำนาจของผู้นำสหรัฐฯ ในการออกคำสั่ง ยึดทรัพย์สิน และขัดขวางการโอนย้ายสิทธิครอบครองใดๆ ในสหรัฐฯ ซึ่งเป็นของกัดดาฟี และลูกชาย 4 คน เนื่องจากรัฐบาลของเขาละเมิดบรรทัดฐานสากล และคุณธรรมทั่วไป จึงต้องแสดงความรับผิดชอบ

ผู้นำสหรัฐฯ แถลงว่า มาตรการลงโทษดังกล่าวมีเป้าหมายเป็นรัฐบาลของกัดดาฟี และครอบครัวของเขาโดยเฉพาะ โดยจะคุ้มครองทรัพย์สินทางวัตถุอันเป็นของประชาชนชาวลิเบีย

"การละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างต่อเนื่องของรัฐบาลลิเบีย การเข่นฆ่าประชาชน และการข่มขู่ด้วยความรุนแรง ชักนำให้เกิดการประณามอย่างหนักแน่น และกว้างขวางโดยประชาคมโลก" โอบามาระบุ

เขาระบุว่า สหรัฐฯ จะยืนเคียงข้างประชาชนชาวลิเบีย เพื่อเรียกร้องสิทธิตามหลักสากล รวมถึงรัฐบาลที่จะตอบสนองความปรารถนาของพวกเขา โดยยังคำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นคนของพวกเขาด้วย

โอบมาประกาศใช้มาตรการลงโทษผู้นำลิเบีย หลังจากเที่ยวบินหนึ่งพาผู้อพยพชาวอเมริกันออกจากประเทศดังกล่าวแล้ว ไม่นานหลังจากเรือเฟอร์รี่ ซึ่งมีชาวอเมริกันเกือบ 300 คน และชาวต่างชาติอื่นๆ เดินทางถึงมอลตา

เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ รายหนึ่ง ซึ่งไม่ระบุชื่อ เผยว่า มาตรการดังกล่าวมีกรอบในการกระตุ้นให้สมาชิกสำคัญๆ ในรัฐบาลของลิเบียเปลี่ยนใจออกจากแกนอำนาจของกัดดาฟี

คลิปกัดดาฟีสู้ยิบตา ให้อาวุธสงครามผู้สนับสนุนไปฆ่าผู้ต่อต้าน

File 10396

เอเอฟพี - มูอัมมาร์ กัดดาฟี ประธานาธิบดีลิเบียประกาศลั่นเมื่อวันศุกร์(25)พร้อมเปิดคลังแสงให้ผู้สนับสนุนนำไปกวาดล้างฝ่ายต่อต้าน ลางบอกเหตุถึงการต่อสู้นองเลือดครั้งใหม่เพื่อเมืองหลวงของประเทศ หลังจนถึงตอนนี้มีผู้เสียชีวิตจากเหตุความไม่สงบไปหลายพันคน ขณะที่นานาชาติกำลังถกถึงแนวทางคว่ำบาตรผู้นำรายนี้

ในคำปราศรัยสั้นๆแต่เย็นชาในจตุรัสกรีน ณ กรุงตริโปลี กัดดาฟีบอกกับผู้สนับสนุนหลายร้อยคนจากด้านบนของอาคารแห่งหนึ่งให้เตรียมพร้อมสำหรับสู้รบ โดยบอกว่าถ้าจำเป็นจะเปิดคลังอาวุธให้พวกเขานำไปสู้กับฝ่ายตรงข้าม

ก่อนหน้านี้ผู้ภักดีต่อ กัดดาฟี ได้ยิงประชาชนฝ่ายต่อต้านรัฐบาลเสียชีวิตไปจำนวนมากทั่วเมืองหลวงและประธานาธิบดีนิโกลาส์ ซาร์โกซี กลายเป็นผู้นำโลกคนแรกที่ออกมาเรียกร้องอย่างเปิดเผยให้ผู้นำรายนี้ลงจากอำนาจ

อย่างไรก็ตาม กัดดาฟี ไม่มีท่าทีสะทกสะท้าน แถมยังเรียกร้องให้ฝ่ายสนับสนุนเขาสู้เพื่อปกป้องลิเบีย "ถ้าจำเป็น เราจะเปิดคลังแสง เราจะสู้กับพวกเขาและเราจะปราบพวกเขา" เขากล่าวท่ามเสียงโห่ร้องและโบกสะบัดธงชาติของกลุ่มผู้ภักดี

ความเคลื่อนไหวครั้งนี้นับเป็นการปราศรัยหนที่ 3 ของกัดดาฟีในรอบสัปดาห์ โดยครั้งแรกเขาเรียกร้องให้ผู้สนับสนุนกำจัดผู้ก่อจลาจล ส่วนต่อมาเขาอ้างว่าอัลกออิดะห์อยู่เบื้องหลังม็อบเยาวชนผู้ติดยาที่พยายามล้มอำนาจเขา

สถานการณ์ในลิเบียเวลานี้ แม้กองกำลังผู้ภักดีต่อระบอบกัดดาฟีจะพยายามยิงโจมตีฝ่ายค้านล้มล้างรัฐบาลเพื่อทวงเมืองสำคัญทางภาคตะวันตกใกล้กับกรุงตริโปลี และฝั่งตะวันออกที่ถูกยึดไปกลับคืนทว่าก็ยังไม่สำเร็จ โดยที่กลุ่มฝ่ายค้านซึ่งประกอบด้วยนักรบทหารแปรพักตร์ และพวกผู้ประท้วงยังคงควบคุมหลายเมืองเอาไว้ได้ ซึ่งรวมถึงเบงกาซี เมืองใหญ่อันดับสองของประเทศ และมิสราตา เมืองใหญ่อันดับสามอีกด้วย ขณะที่มีข่าวว่า ทหารและตำรวจลิเบียในเมืองอัดญะบียา ได้แปรพักตร์ไปร่วมกับฝ่ายค้านแล้ว

ในกรุงตริโปลี กองกำลังความมั่นคงเปิดฉากยิงเข้าใส่นักแสวงบุญอย่างไม่เลือกหน้าขณะที่กำลังเสร็จสิ้นพิธีสวดมนต์ ในความพยายามขัดขวางการชุมนุมครั้งใหม่ ขณะเดียวกันรายงานข่าวระบุว่ามีผู้เสียชีวิต 2 รายในเมืองฟาสท์ลัมที่อยู่ติดกันและอีกหลายศพในเมืองซัก อัล-โจมา

ที่เมืองมิสราตา ซึ่งใหญที่สุดเป็นอันดับ 3 ของลิเบียและอยู่ห่างจากเมืองหลวงไปทางตะวันออก 150 กิโลเมตร คาดหมายว่าจะมีชาวบ้านแออัดยัดเยียดเข้าร่วมพิธีศพของประชาชน 30 คน พร้อมกันนี้ก็เตรียมใช้โอกาสนี้ร่วมกันขับไล่ผู้จงรักภักดีรัฐบาลด้วย และด้วยที่ทหารฝ่ายรัฐบาลราว 500 คนยังคงซ่อนตัว ณ สนามบินใกล้เคียง ทำให้อาสาสมัครพากันจัดทำป้อมปราการด้วยข้าวของและถุงทรายเพื่อป้องกันการโจมตี

อีกด้านหนึ่งรัฐบาลชาติตะวันตกพยายามอย่างหนักที่จะมาตรการลงโทษร่วมตอบโต้การปราบปรามนองเลือดภายในประเทศแห่งนี้

ย่างก้าวแรกทางสหภาพยุโรปมีมติห้ามเรือบรรทุกอาวุธเข้าออก อายัดทรัพย์สินและห้ามนักท่องเที่ยวเดินทางไปยังลิเบีย อย่างไรก็ตามข้อกำหนดนี้ยังคงไม่สามารถบังคับใช้ไปอีกหลายวันเนื่องจากจำเป็นต้องเปลี่ยนมติดังกล่าวเป็นร่างที่ถูกต้องตามกฎหมายเสียก่อน

นอกจากนี้ทางชาติตะวันตกก็อยู่ระหว่างถกร่างมติคว่ำบาตรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติที่จะบังคับใช้เหมือนกันทั่วโลก จากการเปิดเผยของคณะทูตในนิวยอร์ก พร้อมบอกต่อว่าการลงมติรับร่างนี้จะมีขึ้นอย่างเร็วที่สุดในช่วงสุดสัปดาห์ ตามเสียงเรียกร้องขอให้ออกมาตรการคว่ำบาตรจากฝรั่งเศสและอังกฤษ ที่หวังเห็นสมาชิกในรัฐบาลลิเบียถูกดำเนินคดีในศาลอาชญากรสากลด้วย

ด้านประธานาธิบดีบารัค โอบามา ของสหรัฐฯ ได้หารือร่วมกับนายกรัฐมนตรีเดวิด คาเมรอนของอังกฤษ, ประธานาธิบดีนิโกลาส์ ซาร์โกซีแห่งฝรั่งเศส และนายกรัฐมนตรีซิลวิโอ แบร์ลุสโคนีของอิตาลี เมื่อวานนี้ (24) เพื่อหาแนวทางในการลงโทษโดยทันทีต่อผู้นำมูอัมมาร์ กัดดาฟี ของลิเบีย ซึ่งส่งกำลังทหารพร้อมอาวุธสงครามปราบปรามประชาชนที่ลุกฮืออย่างโหดเหี้ยมทารุณ จนส่งผลให้น่าจะมีพลเรือนถูกสังหารไปมากถึง 2,000 ราย

ทั้งนี้สหรัฐฯ ระบุว่ายังคงเปิดกว้างและสงวนทุกทางเลือกในการตอบโต้กัดดาฟีเอาไว้ ซึ่งรวมถึงอ็อปชั่นการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ ไปจนถึงการใช้กำลังทางทหารกับลิเบีย


"ราชสกุลเทพหัสดิน" แถลง "แพรวาไม่ได้เฉี่ยวชนรถตู้"

รถตู้ตกโทล์เวย์


พ.ต.ท.ฉัตรชัย เอี่ยมอ่อง พนักงานสอบสวน สบ 2 สน.วิภาวดี ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ ถึงความคืบหน้าสวนคดี น.ส.เอ (นามสมมุติ) ขับรถยนต์ยี่ห้อฮอนด้า รุ่นซีวิค ชนรถตู้โดยสาร ทำให้มีผู้เสียชีวิต 9 ราย บนทางด่วนโทลล์เวย์ วิภาวดีรังสิต เมื่อเดือนธันวาคม 2553 ว่า ขณะนี้สำนวนการสอบสวนเสร็จสิ้นแล้ว และส่งสำนวนให้ผู้บังคับบัญชาพิจารณาแล้ว หากสำนวนถูกส่งกลับมาก็จะนัดผู้ต้องหาเพื่อนำตัวส่งมอบให้กับอัยการพร้อมสำนวนการสอบสวนเพื่อพิจารณาสั่งฟ้องหรือไม่ เบื้องต้นคาดว่าน่าจะส่งฟ้องได้ภายในสัปดาห์หน้า ส่วนกรณีกระแสข่าวที่ทางตระกูลเทพหัสดิน ณ อยุธยา ออกแถลงการณ์เรื่องข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น พ.ต.ท.ฉัตรชัย กล่าวว่า ยังไม่ทราบเรื่องที่เกิดขึ้น


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันเดียวกันได้มีฟอร์เวิร์ดเมล อ้างว่า เป็นแถลงการณ์ของตระกูลเทพหัสดิน ณ อยุธยา เรื่อง ชี้แจงข้อเท็จจริงทั่วไปเกี่ยวกับการเกิดอุบัติเหตุบนทางยกระดับอุตราภิมุข มีข้อความสรุปว่า ผู้ต้องหายืนยันว่า ไม่ได้เฉี่ยวชนรถตู้โดยสาร แต่หักหลบรถตู้โดยสารที่เปลี่ยนเส้นทางกะทันหัน ทำให้รถที่ผู้ต้องหาขับขี่มานั้นเสียหลักชนเข้ากับกำแพงกั้นขอบทาง เป็นเหตุให้รถยนต์เก๋งซีวิคได้รับความเสียหาย


"จากหลักฐานที่มีอยู่สามารถยืนยันได้ว่า ไม่มีร่องรอยการชนเข้าไปด้านหลัง เต็มๆ อย่างที่หลายฝ่ายเข้าใจ หรือที่เรียกว่าชนเข้าอย่างจังจนเป็นเหตุให้รถตู้โดยสารเสียหลัก ซึ่งถ้าหากเป็นเช่นนั้น ผู้ต้องหาย่อมต้องเสียชีวิตไปแล้วอย่างแน่นอน เพราะรถยนต์เก๋งซีวิค มีน้ำหนักและขนาดเล็กกว่ารถตู้โดยสารมาก และหากมีการชนอย่างที่ว่านั้นจริง จะต้องปรากฏร่องรอยการชนบนรถทั้งสองคันอย่างแน่นอน และจากการตรวจสอบพยานหลักฐานเบื้องต้น ก็ไม่ปรากฏว่าสีของรถยนต์เก๋งซีวิค ไปปรากฏบนส่วนหนึ่งส่วนใดของรถตู้ และในทางกลับกัน สีของรถตู้ก็ไม่ปรากฏบนตัวถังของรถยนต์เก๋งซีวิค


"ทีมกฎหมายขอเรียนไปยังทุกท่าน เพื่อให้ความเป็นธรรมกับฝ่ายของผู้ต้องหา เพราะที่ผ่านมา ทางฝ่ายผู้ต้องหาถูกประณามถึงความรับผิดชอบต่อกรณีที่เกิดขึ้น ซึ่งฝ่ายผู้ต้องหาได้พยายามดูแลปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างดีที่สุดตามกำลังความสามารถ เท่าที่จะทำได้ รวมทั้งการติดต่อขอพบผู้ได้รับบาดเจ็บ และญาติผู้เสียชีวิต ซึ่งบางท่านก็ได้รับแจ้งว่า ไม่สะดวกที่จะให้เข้าพบ บางท่านก็ได้เข้าพบและเจรจา โดยบางท่านได้เสนอข้อเรียกร้องเป็นจำนวนเงินที่สูงมากเกินกว่ากำลังความสามารถที่ครอบครัวจะพึงปฏิบัติได้ ทั้งที่ข้อเท็จจริงบางเรื่องยังไม่ได้สรุปชัดเจนและศาลยังไม่ได้มีคำพิพากษา จึงอยากจะร้องขอให้ทุกท่านได้พิจารณา รวมทั้งทีมงานด้านกฎหมายของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ที่เป็นผู้รับมอบอำนาจจากผู้เสียหายได้พิจารณาเรื่องดังกล่าวให้รอบคอบก่อนดำเนินการ เพื่อความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย" แถลงการณ์ระบุ


ด้านนายปกป้อง ศรีสนิท ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายกิจการนักศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) หนึ่งในทีมนักกฎหมายของ มธ. กล่าวว่า ในส่วนของทีมงานนักกฎหมายของ มธ.คงไม่จำเป็นต้องตั้งรับหรือหาหลักฐานเพิ่มเติมเพื่อมาหักล้างกับฟอร์เวิร์ดดังกล่าว เพราะเป็นเพียงข้อต่อสู้ของฝ่ายผู้ต้องหา ซึ่งข้อเท็จจริงจะเป็นอย่างไร ยังไม่มีใครรู้ เป็นเรื่องที่พนักงานสอบสวนต้องรวบรวมพยานหลักฐาน ส่งอัยการเพื่อพิสูจน์ในชั้นศาลต่อไป

วันศุกร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

"หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ" อาวุธทรงพลังในหมู่ลูกแกะ

หมายเหตุ/ บทความนี้มีชื่อว่า "หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ" อาวุธทรงพลังในหมู่ลูกแกะ เขียนโดย อ.ปิยบุตร แสงกนกกุล ตีพิมพ์ลงใน www.onopen.com เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2548 และตีพิมพ์ในหนังสือ "พระราชอำนาจ องคมนตรี และผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ เป็นบทความที่อธิบายเกี่ยวกับกฏหมายหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ได้อย่างชัดเจน จึงขอนำมาเผยแพร่ในเวปไซด์แห่งนี้และขอบคุณเจ้าของบทความเป็นอย่างยิ่ง

" สงครามแย่งชิง “ความจงรักภักดี” ระหว่างทักษิณกับสนธิ โดยมีข้อหา “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” เป็นอาวุธกำลังดำเนินไปอย่างเผ็ดร้อนและยากจะคาดเดาว่าจะลงเอยเช่นใด จนกระทั่งมีพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม เหตุการณ์ก็เริ่มคลี่คลายไปตามลำดับ ด้วยปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคมไทยเช่นนี้ จึงน่าสนใจว่าที่เรียกกันว่าหมิ่นพระบรมเดชานุภาพนั้นมีจริงหรือไม่ และมีลักษณะอย่างไร

-๑.-

ความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๑๒

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๑๒ บัญญัติว่า

ความผิดตามมาตรา ๑๑๒ จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีการกระทำที่ครบทั้งองค์ประกอบภายนอกและองค์ประกอบภายใน องค์ประกอบภายนอกก็คือ ต้องหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ส่วนองค์ประกอบภายในคือ ต้องมีเจตนา

มีถ้อยคำที่ควรพิจารณาอยู่ ๓ ถ้อยคำ ได้แก่ หมิ่นประมาท ดูหมิ่น และแสดงความอาฆาตมาดร้าย

อย่างไรจึงเรียก “หมิ่นประมาท”?

“หมิ่นประมาท” ตามมาตรา ๑๑๒ มีความหมายเดียวกับหมิ่นประมาทบุคคลทั่วไปตามมาตรา ๓๒๖ กล่าวคือ เป็นการใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สามโดยที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง เมื่ออ่านมาตรา ๑๑๒ ประกอบกับมาตรา ๓๒๖ แล้ว การหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ หมายถึง การใส่ความพระมหากษัตริย์ต่อบุคคลที่สามโดยที่น่าจะทำให้พระมหากษัตริย์นั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง เช่น นาย ก.เล่าให้นาย ข.ฟังถึงเรื่องพระมหากษัตริย์อันทำให้พระมหากษัตริย์เสียชื่อเสียง ไม่ว่าเรื่องที่เล่ามานั้นจะจริงหรือเท็จก็ตาม ถ้าพระมหากษัตริย์เสียหาย ก็ถือว่านาย ก.หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์แล้ว

อย่างไรจึงเรียก “ดูหมิ่น”?

“ดูหมิ่น” หมายถึงการแสดงเหยียดหยาม อาจกระทำทางกริยา เช่น ยกส้นเท้า ถ่มน้ำลาย หรือกระทำด้วยวาจา เช่น ด่าด้วยคำหยาบคาย

ส่วน “แสดงความอาฆาตมาดร้าย” หมายถึง การแสดงว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายในอนาคต เช่น ขู่ว่าจะปลงพระชนม์ไม่ว่าจะมีเจตนากระทำตามที่ขู่จริงหรือก็ตาม

การหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย ต้องกระทำต่อพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ เท่านั้น ไม่รวมถึงเชื้อพระวงศ์คนอื่นๆ

และเช่นกันไม่รวมถึงท่านผู้หญิง คุณหญิง ข้าราชบริพาร สิ่งของ หรือสัตว์เลี้ยง…

โดยทั่วไป การหมิ่นประมาทบุคคลธรรมดา ผู้กระทำอาจยกเหตุตามมาตรา ๓๒๙ มาอ้างว่าตนกระทำได้ เพราะเป็นการแสดงความคิดเห็นหรือข้อความโดยสุจริตเพื่อความชอบธรรม ป้องกันตนหรือป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามทำนองคลองธรรม หรือในฐานะเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติการตามหน้าที่ หรือติชมด้วยความเป็นธรรมซึ่งบุคคลหรือสิ่งใดอันเป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระทำหรือในการแจ้งข่าวด้วยความเป็นธรรมหรือการดำเนินการอันเปิดเผยในศาลหรือในการประชุม

นอกจากนี้ผู้กระทำความผิดฐานหมิ่นประมาทอาจอ้างเหตุยกเว้นโทษได้ตามมาตรา ๓๓๐ หากพิสูจน์ได้ว่าที่หมิ่นประมาทไปนั้นเป็นความจริง แต่ห้ามพิสูจน์ในกรณีที่ข้อที่เป็นหมิ่นประมาทนั้นเป็นการใส่ความในเรื่องส่วนตัวและการพิสูจน์ไปก็ไม่เป็นประโยชน์แก่ประชาชน

อย่างไรก็ตามคำพิพากษาฎีกายืนยันว่าเหตุให้หมิ่นประมาทได้ตามมาตรา ๓๒๙ และเหตุยกเว้นโทษตามมาตรา ๓๓๐ ไม่นำมาใช้บังคับกับกรณีพระมหากษัตริย์ เพราะ พระมหากษัตริย์เป็นที่เคารพสักการะ มีสถานะแตกต่างจากบุคคลทั่วไปซึ่งมาตรา ๑๑๒ มุ่งคุ้มครองเป็นพิเศษ ดังนั้นหากใครหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์และจะอ้างต่อศาลว่าตนติชมด้วยความเป็นธรรม ศาลก็ไม่รับฟัง

อนึ่ง แม้กฎหมายจะไม่อนุญาตให้อ้างได้ว่าการหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์เป็นไปเพื่อการวิจารณ์หรือติชมด้วยความเป็นธรรม แต่เราจะเห็นถึงน้ำพระทัยของในหลวงที่ทรงเปิดกว้างรับฟังคำวิพากษ์วิจารณ์ในตัวพระองค์ ดังความบางตอนจากพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๔๘ ที่ว่า

“แต่ว่าความจริงก็ต้องวิจารณ์บ้างเหมือนกัน และก็ไม่กลัวว่าถ้าใครจะมาวิจารณ์ว่าทำไม่ดีตรงนั้น ตรงนั้นจะได้รู้ เพราะว่าถ้าบอกว่าพระเจ้าอยู่หัว ไปวิจารณ์ท่านไม่ได้ ก็หมายความว่าพระเจ้าอยู่หัวไม่เป็นคน... ฉะนั้น ก็ที่บอกว่าการวิจารณ์เรียกว่าละเมิดพระมหากษัตริย์ ละเมิด ให้ละเมิดได้ แต่ถ้าเขาละเมิดผิด เขาก็ถูกประชาชนบอก เป็นเรื่องขอให้เขารู้ว่าวิจารณ์อย่างไร ถ้าเขาวิจารณ์ถูกก็ไม่ว่า แต่ถ้าวิจารณ์ผิด ไม่ดี แต่เมื่อบอกว่าไม่ให้วิจารณ์ ละเมิดไม่ได้ เพราะรัฐธรรมนูญว่าอย่างนั้น ลงท้ายพระมหากษัตริย์ก็เลยลำบาก แย่ อยู่ในฐานะลำบาก ถ้าไม่ให้วิจารณ์ก็หมายความว่าพระเจ้าอยู่หัวนี้ต้องวิจารณ์ ต้องละเมิด แล้วไม่ให้ละเมิด พระเจ้าอยู่หัวเสีย พระเจ้าอยู่หัวเป็นคนไม่ดี”

-๒.-

ความผิดฐาน “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” มีในระบบกฎหมายไทยจริงหรือ ?

จากการสำรวจประมวลกฎหมายอาญาและกฎหมายอื่นๆ ไม่พบคำว่า “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” ความผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเป็นความผิดในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่แสดงถึงเดชานุภาพและบารมีของกษัตริย์ ที่พูดว่า “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” ในปัจจุบันนั้นน่าจะเป็นการพูดที่ติดปากกันมากกว่า (ไม่ว่าจะติดมาเพราะจงใจหรือบังเอิญ)

ข้อหา “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” ที่ “ลูกแกะ” เสื้อเหลืองกับ “ลูกแกะ” รัฐบาลยัดเยียดให้แก่กันและกันนั้น เอาเข้าจริงก็คือข้อหา “หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์” ตามมาตรา ๑๑๒ นั่นเอง

สมควรกล่าวด้วยว่า “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” ย่อมกินความกว้างกว่า “หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์”

สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ให้ข้อมูลที่น่าสนใจว่า ในการประชุมอนุกรรมการตรวจพิจารณาแก้ไขประมวลกฎหมายอาญาของคณะกรรมการกฤษฎีกา วันที่ ๗ มกราคม ๒๔๘๔ หลวงประสาทศุภนิติได้ซักถามในที่ประชุมว่าหากจะใช้คำว่า “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” จะเป็นอย่างไร หม่อมเจ้าสกลวรรณกร วรวรรณ ตอบว่า ปัจจุบันนี้ใช้ไม่ได้ ไม่มีข้อหาทางอาญา “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” มีแต่ข้อหา “หมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์" (ดูwww.midnightuniv.org/midnight2545/document9554.html)

กล่าวให้ถึงที่สุด ในระบบกฎหมายไทยปัจจุบันไม่มีความผิดฐาน “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” มีเพียงแต่ “หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์” ซึ่งโดยเนื้อหาก็เหมือนกับความผิดฐานหมิ่นประมาทคนธรรมดา จะหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์หรือหมิ่นประมาทบุคคลธรรมดาก็ใช้นิยามเดียวกัน คือ “การใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สามอันน่าจะทำให้ผู้อื่นเสียหาย” ที่แตกต่างกันก็มีสามประการ คือ หนึ่ง หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์มีโทษหนักกว่าหมิ่นประมาทคนธรรมดา สอง หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ไม่อาจนำเหตุให้กระทำการได้ตามมาตรา ๓๒๙ และมาตรา ๓๓๐ มาอ้างได้ และสาม ความผิดฐานหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์เป็นความผิดเกี่ยวด้วยความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร บุคคลที่ มาตรา ๑๑๒ ประสงค์จะคุ้มครอง คือ พระมหากษัตริย์ ราชินี รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ในขณะที่ความผิดฐานหมิ่นประมาทตามมาตรา ๓๒๖ เป็นความผิดเกี่ยวด้วยเสรีภาพและชื่อเสียง มุ่งคุ้มครองบุคคลธรรมดา

-๓-

ยุติการยัดเยียดข้อหา “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” กันเถิด

การฟ้องร้องโดยอ้างว่า “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” แท้จริงแล้วเป็นการฟ้องร้องในความผิดฐานหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๑๒ จึงต้องมาพิจารณากรณีฟ้องและขู่ว่าจะฟ้องทั้งหลายนั้นเข้าข่ายความผิดตามมาตรา ๑๑๒ หรือไม่

ไม่ว่าจะเป็นกรณีนักการเมืองพรรคประชาธิปัตย์นำสติ๊กเกอร์พระราชดำรัสไปติดตามที่ต่างๆ

ไม่ว่าจะเป็นกรณีสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ไม่ยินยอมให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินเข้าไปตรวจสอบบัญชีโดยอ้างว่าจะเป็นการ “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ”

ไม่ว่าจะเป็นกรณีผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน

ไม่ว่าจะเป็นสงครามระหว่างสนธิกับทักษิณ

วิญญูชนพึงตรึกตรองดูเถิดว่า…

กรณีเหล่านี้เป็นการใส่ความพระมหากษัตริย์ให้ผู้อื่นทราบอันทำให้พระมหากษัตริย์เสียหายอันถือเป็น “การหมิ่นประมาท” พระมหากษัตริย์หรือไม่

กรณีเหล่านี้เป็นการแสดงเหยียดหยามทางกริยาหรือทางวาจาต่อพระมหากษัตริย์อันถือเป็น “การดูหมิ่น” พระมหากษัตริย์หรือไม่

กรณีเหล่านี้เป็นการแสดงว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายพระมหากษัตริย์อันถือเป็น “การแสดงความอาฆาตมาดร้าย” พระมหากษัตริย์หรือไม่

ถ้าไม่เป็น แล้วที่ฟ้องร้องกันทั่วบ้านทั่วเมืองนี่คืออะไร?

ทั้งหลายทั้งปวงเป็นการต่อสู้กันทางการเมืองและผลประโยชน์ โดยเอาข้อหา “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” มาเป็นอาวุธหรือเกราะกำบังทั้งนั้น การกล่าวอ้างลอยๆว่า “เอ็งกำลังจะหมิ่นพระบรมเดชานุภาพนะเว้ย” กลายเป็นเพียงการข่มขู่ แบล็คเมล์ หรือหยิบยกขึ้นอ้างเพื่อผลประโยชน์บางประการโดยปราศจากซึ่งฐานทางกฎหมาย

เช่นนี้แล้วนักฟ้องร้องและแจ้งความข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพหรือหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ทั้งหลายนั้นจะกล้าประกาศว่าข้าจงรักภักดียิ่งกว่าใครได้เต็มปากอีกหรือ?

เอาเข้าจริงคนที่ฟ้องร้องก็ไม่ได้หวังผลว่าจะต้องมีใครติดคุก แต่ขอเพียงปักชนักติดหลังให้ศัตรูว่าโดนแจ้งความ “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว

กล่าวได้ว่าสังคมไทยปัจจุบันแปรสภาพโทษทางกฎหมายของข้อหา “หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์” (ภายใต้เสื้อคลุม “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ”) ให้กลายเป็นโทษทางสังคม จะทำอย่างไรได้ก็บรรดา “ลูกแกะ” ช่างอ่อนไหวกับเรื่องพรรค์นี้เสียเหลือเกิน

ต้องไม่ลืมว่า ยิ่งมีการฟ้องร้องข้อหานี้มากเท่าไร ยิ่งทำให้เสื่อมเสียพระเกียรติยศมากเท่านั้น เพราะถ้าเราตีความในมุมกลับ หากมีการกล่าวหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพมาก ก็หมายความว่า เดชานุภาพของพระมหากษัตริย์มีข้อบกพร่อง จึงมีคนหมิ่นบ่อยๆ มิพักต้องกล่าวถึงกรณีหากเป็นคดีความขึ้นในศาลซึ่งคู่ความอาจต้องให้การบางอย่างบางประการอันอาจกระทบสถาบันพระมหากษัตริย์มากขึ้นไปอีก

ความผิดฐานหมิ่นประมาทประมุขของรัฐเป็นความจำเป็นที่กฎหมายในทุกประเทศต้องมีเพื่อเป็นการคุ้มครองสถาบัน อย่างไรก็ตาม ในหลายประเทศ กฎหมายไม่เปิดโอกาสให้มีการฟ้องว่าบุคคลหนึ่งหมิ่นประมาทประมุขของรัฐอย่างพร่ำเพรื่อ หากแต่เจ้าหน้าที่จะสอบถามไปที่สำนักพระราชวัง (กรณีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข) หรือสำนักงานประธานาธิบดี (กรณีประธานาธิบดีเป็นประมุข) ว่าเห็นควรจะให้ฟ้องร้องหรือไม่

น่าคิดว่ากฎหมายไทยควรถึงเวลาทบทวนประเด็นดังกล่าวหรือยังและสมควรกำหนดให้องค์กรใดองค์กรหนึ่งเป็นคนแจ้งความหรือฟ้องจะดีกว่าหรือไม่ การเปิดโอกาสให้ใครก็ได้เดินไปแจ้งความแก่ตำรวจว่ามีคนหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์แล้วตำรวจก็รับแจ้งความดำเนินคดีทุกครั้งไปนั้น ไม่น่าจะเป็นผลดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์

กองเชียร์นายกฯกลุ่มหนึ่งไปแจ้งความแก่ตำรวจว่านาย “สมาส” หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ นายพล “จงเจริญ” ในฐานะกองเชียร์ของนาย “สมาส” ทนไม่ได้เลยต้องไปแจ้งความกลับว่านายกฯต่างหากที่หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ภาพเช่นนี้ย่อมเป็นภาพที่ไม่น่าดู

ความจริงแล้ว กรณียัดเยียดข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพให้กันในสังคมไทย หากเจ้าหน้าที่มีดุลพินิจสักนิด ก็ไม่เห็นมีความจำเป็นแต่ประการใดที่เจ้าหน้าที่จะต้องรับข้อหานั้นเข้าสู่กระบวนการพิจารณา

จากพระราชดำรัส ๔ ธันวาคม ๒๕๔๘ จะเห็นได้ว่าพระองค์ทรงเปิดกว้างต่อการวิพากษ์วิจารณ์ และไม่สนับสนุนให้มีการฟ้องร้องข้อหาหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์กันอย่างพร่ำเพรื่อ พระองค์ทรงแสดงจุดยืนอย่างชัดเจนว่า “...และมีแปลกๆ คราวนี้นักกฎหมายก็ชอบให้ฟ้อง ให้จับเข้าคุก อันนี้นักกฎหมายเขาสอน สอนนายกฯ บอกว่าต้องฟ้อง ต้องลงโทษ ก็ขอสอนนายกฯ ใครบอกว่าให้ลงโทษ อย่าลงโทษเขา ลงโทษไม่ดี ไม่ใช่นายกฯเดือดร้อน แต่พระมหากษัตริย์เดือดร้อน”

เช่นนี้แล้ว บรรดานักจงรักภักดีและหมู่ลูกแกะทั้งฟากเสื้อเหลืองและฟากรัฐบาลจะมิพึงสนองพระราชดำรัสหรอกหรือ